Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี นิยาย บท 282

บทที่ 282 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (8)

“ทุกๆคนหยุดงานที่ทำแล้วมารวมตัวกันก่อน”

ยูอิลฮานได้ตะโกนออกมา

เมื่อเสียงของเขาได้ดังไปทั่วทั้งบาเรีย เหล่าคนที่แช่อยู่ในอ่างแห่งปาฏิหาริย์ กองทัพมังกรที่กำลังทำการต่อสู้ขนาดใหญ่กันอยู่ ยูมิลที่กำลังฝึกใช้สกิล ทาคากากิ อสึฮะที่เพิ่งจะฆ่าปีศาจ รวมไปถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ดูจะสู้กันถึงตายแต่จริงๆแล้วกำลังซ้อมกันอยู่ พวกเขาเหล่านี้ทุกคนได้หยุดสิ่งที่ทำกันในทันที ยูอิลฮานได้อธิบายขึ้นมา

“บาเรียใกล้จะหายไปอล้ว ในตอนที่บาเรียพังลงไป ผลจากเวทย์ชะลอเวลาก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากเพราะงั้นเตรียมตัวกันให้ดีนะ”
“อ๊า มันมาอีกแล้ว”
[ข้าอยากจะปรับร่างกายให้ดีขึ้น…]
“ในอนาคตฉันจะปรับแต่งให้อีก ไม่ต้องห่วงโอโรจิ”
[เพราะนายท่านเป็นคนพูดยิ่งไม่น่าไว้ใจเลย]

ยูอิลฮานได้จัดการเก็บกวาดอุปกรณ์มากมายภายในบาเรียและเก็บอ่างแห่งปาฏิหาริย์กลับมา แม้ว่าในระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ในบาเรียเขาจะไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆมามากมายทำให้เขาไม่คิดมากในเรื่องนั้น

ต่อให้ไม่นับเขากับยูมิล ก็มีคนบางส่วนร่วมถึงเลียร่ากับเฮเรียน่าที่ได้สอดประสานเข้ากันกับพลังมังกรได้สำเร็จอีกด้วย

“อ่า บาเรีย”
“ฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังหนักขึ้น”
“…บาเรียกำลังพังลงแล้ว”

ในตอนนี้เอิลต้าที่ไวต่อมานามากที่สุดได้พูดออกมา บาเรียแห่งเวลาที่ดูจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ได้แตกกระจายแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้เวลาภายในบาเรียนี้มาเป็นเวลาปีครึ่งต่างก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาหลังจากที่เวลาได้เริ่มเดินต่ออีกครั้งหนึ่ง

“พระเจ้า เวลาข้างนอกผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นเอง”
“อ๊าา ตอนนี้ฉันรู้สึกหนักมากๆ”

ถึงยูอิลฮานจะเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว แต่เวทย์ชะลอเวลาที่ร่ายไว้บนโลกไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้แค่เพราะรู้ถึงการมีอยู่ของมัน

ในตอนนี้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนสามารถที่จะเคลื่อนไหวตามปกติได้ภายใต้ผลจากวงเวทย์แล้ว นี่มันก็เพราะการฝึกฝนมาตลอดปีครึ่งของพวกเขา แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องกัดฟันแน่นฝืนทนกับแรงกดดันที่มหาศาล พวกเขายังถึงขนาดถูกกระตุ้นให้ปล่อยทุกๆอย่างเป็นไปตามการไหลของเวทมนต์!

“ถ้าคนในกิลด์ได้เห็นเราแบบนี้คงจะสับสนกันแน่”
“แค่พวกนายสามคนแสดงการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปกติออกมาก็จะช่วยให้คนอื่นๆรู้ถึงการมีอยู่ของวงเวทย์แล้ว เพราะแบบนั้นคนที่เหลือก็น่าจะสามารถพัฒนาได้เหมือนกัน”
“นี่มันบ้ามากๆ…”

ยังไงก็ตามพวกเขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโลกแล้ว พวกเขาไม่อาจจะบ่นอะไรกับเรื่องนี้ได้ ยูอิลฮานได้ส่งอาวุธ ‘บางส่วน’ และอุปกรณ์สวมใส่ที่เขาใช้เวลาว่างทำขึ้นมาให้กับทั้งสามคน

“ใช้ของพวกนี้ติดอาวุธให้กับคนในกิลด์ของพวกนั้น ของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับตำนาน แต่ชั่งเถอะ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ฉันชักกลัวตัวเองแล้วสิที่ไม่ตกใจกับการปรากฏของอาร์ติแฟคระดับตำนานหลายต่อหลายอันแบบนี้… ถึงแบบนั้นฉันก็ขอรับมามาด้วยความยินดีล่ะนะ”
“ขอบคุณมากค่ะท่านซูซา… เอ่อ ยูอิลฮาน! ในอนาคตฉันจะตามรับใช้นายอย่างภักดีเลยล่ะ!”
“อ่า ไม่ต้องเลย ฉันไม่ได้ต้องคนรับใช้ที่ภักดีอะไรทั้งนั้น”

เนื่องจากยูอิลฮานได้บอกแนวทางไปแล้ว ทำให้หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้แยกกันไปตามที่ของตัวเองอย่างไม่ลังเล

พวกเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะงั้นพวกเขาก็น่าจะทนนกับโลกบ้าๆใบนี้ไปได้ โดยเฉพาะกับคาริน่า มาลาเทสต้ากับมิเชล สมิธสันที่กำลังสนับสนุนกันแล้วกัน ส่วนสำหรับทาคากากิ อสึฮะ… ยูอิลฮานไม่อยากจะคิดถึงเรื่องของเธอในตอนนี้

“เอาล่ะ งั้นเราก็ควรจะทำในสิ่งที่ต้องทำต่องั้นสินะ?”
[นายท่าน จะให้ข้าไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้จริงๆน่ะหรอ?]

คนที่เรียกยูอิลฮานแน่นอนว่าต้องเป็นโอโรจิ ตอนนี้โอโรจิได้อยู่ภายในร่างกายที่ได้รับการปรับแต่ง ‘เล็กน้อย’ จากซากของอิชจาร์ทำให้ตอนนี้โอโรจิสามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโอโรจิจะอายมากหลังจากที่ได้ออกมาจากบาเรีย

[การที่ข้าต้องเดินไปไหนมาไหนทั้งแบบนี้ในร่างที่น่าอาย…]
[ร่างที่น่าอาย? ร่างนี้มันเหนือกว่าร่างกายเก่าที่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำของเจ้าอีกนะ!]

อิชจาร์ที่อยู่ภายในเกราะร่างกายมนุษย์มังกรได้ตะโกนออกมาราวกับจะสาปแช่งโอโรจิ แต่ว่ายูอิลฮานก็ไม่ได้สนใจอิชจาร์เลย อิชจาร์ไม่ได้รู้เลยว่าโอโรจิหมายถึงอะไร คำว่า ‘น่าอาย’ ที่โอโรจิหมายถึงนั่นไม่ใช่ร่างกายทางกายภาพ

“ที่นายอายก็เพราะว่านายไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้อย่างเหมาะสมสินะ”
[ใช่แล้ว กล้ามเนื้อพวกนี้ กระดูกพวกนี้ เนื้อพวกนี้ – ทั้งหมดนี้ต่างก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่าข้า ข้ารู้สึกได้เลยว่ามันส่งเสียงน่าอึดอัดเต็มไปหมดเลย]
[ฟู่ อย่างน้อยเจ้าก็รู้ถึงตำแหน่งของตัวเอง]
“เงียบน่าอิชจาร์”

แม้ว่าโอโรจิที่ได้ไปไหนมาไหนกับยูอิลฮานมาคลอดหลายปีและได้กินจิตวิญญาณไปมากมาย แต่การจะควบคุมร่างนี้ก็ยังคงยากอยู่ดี

“ทำให้ดีที่สุด ฉันเชื่อในตัวนาย”
[เป็นเกียรติมาก]
[นายท่านน่ากลัว! น่ากลัวมา!]

เขาได้ตรวจสอบสภาพพรรคพวกของเขา และจากนั้นก็ตรวจสภาพของโลก แน่นอนว่าเนื่องจากถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในบาเรียมาปีครึ่งแต่ข้างนอกเวลาเพิ่งจะผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้นทำให้ไม่ได้มีอะไรเปลื่ยนไปมากนัก

จริงๆแล้วการที่หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคนได้ฆ่าปีศาจที่เกิดขึ้นมาบนโลกไปในระยะเวลาหนึงกทำให้ความหนาแน่นของมอนสเตอร์เลเวลสูงลดลงไปเช่นกัน แต่แน่นอนว่ามอนสเตอร์พวกนี้ก็จะยังคงปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อีกอยู่ดี แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้กมีระบบดูดมานาจากโลกไปไว้ในดาเรย์อยู่ทำให้มันไม่น่าจะมีกรณีที่มีมอนสเตอร์ระบาดล้นโลกอีกต่อไป

“เอาล่ะ ถ้างั้นไปทำงานกันดีกว่า”
“นายมันเป็นโลกเสพติดการทำงานไปแล้ว~”

ยูอิลฮานได้บอกให้ทุกๆคนได้พักผ่อนกันก่อนที่บาเรียจะพังแล้ว เพราะแบบนี้ทำให้ตอนนี้ทุกๆคนต่างก็อยู่ในสภาพปกติกัน เพราะงั้นการจะทำงานต่อในตอนนี้ก็จะไม่เกิดผลเสียอะไร คังมิเรย์ได้สีหน้ามืดมนลงไปทันทีที่ได้ยินคำประกาศให้กลับมาทำงานของยูอิลฮาน

“ถ้างั้นเราต้องแยกกันอีกแล้วสินะ?”
“ใช่แล้ว… หรือว่าเราควรจะจัดทีมใหม่กันล่ะ?”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”
“มิเรย์ เธออออ”

คังมิเรย์ได้ปฏิเสธในข้อเสนอของยูอิลฮานอย่างรวดเร็ว นี่มันก็เพราะว่าไม่ว่ายังไงเธอก็จะต้องเป็นผู้นำทีมอีกทีมหนึ่งแน่นอน มันไม่มีทางเลยที่เธอจะได้ไปกับเขาได้ เพราะแบบนี้เธอก็เลยจะไม่ยอมให้โอกาสคนอื่นเช่นกัน! นายูนาได้หรี่ตามองมาที่เธอ แต่ว่าสีหน้าของคังมิเรย์ก็ยังมั่นคงดังเดิม

“ป้อมปราการลอยฟ้าได้ถูกเสริมพลังขึ้นมาแล้วดวย เพราะงั้นเธอก็จะต้องฝึกปรับตัวให้ชินกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนะยูนา”
“นี่มันเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด!”
“ท่านจักรพรรดิ… ข้าไม่อาจจะอยู่เคียงข้างปกป้องท่านได้…”
“ใจเย็นน่าพีท! อันเดทของนายกำลังจะคลั่งแล้วนะ!”
[ฟู่ ทีมเดิมอีกแล้วงั้นหรอ…? ถ้านายท่านต้องการแบบนั้น ฉันก็ได้แต่ทำตามล่ะนะ…]

ปฏิกิริยาของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ดีกันเลยสักนิดเดียว พวกเขาไม่อยากจะแยกไปจากยูอิลฮาน! นี่คือเรื่องของทางอารมณ์ แต่ว่ายูอิลฮานรู้สึกเหมือนสูญเสียตัวตนของตัวเองและตื่นตระหนกึ้นมา หากตอนนี้เขายังเรียกตัวเองว่าผู้โดดเดี่ยวอีก เขาคงโดนตบปากแน่ๆเลย

“ให้ตายสิ พวกเราทุกคนแกร่งกันขึ้นมาแล้วนะ เพราะงั้นอย่างน้อยฉันจะต้องได้อยู่เคียงข้างอิลฮานไม่ใช่หรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นขอล่ะนะ”
“ไอที่ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น?’ นี่มันอะไรกัน? ที่พวกเราจะไปเจอก็แค่พวกลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ!”

เลียร่าก็ยังบ่นออกมา ไม่ว่าเธอเธอจะอยู่กับเขามานานแค่ไหนก็ตาม แต่ว่านั่นยังไม่พอ ความรักของเธอมันทำให้เธออยากที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา

“จนกว่าเราจะได้เจอกันก็อีกสองเดือนจริงๆงั้นหรอ?”
“การมาเจอกันปีล่ะครั้งมันจะดีกว่า เพราะงั้นคราวหน้าเราจะมาเจอกันช้าลงหน่อยนะ”
“กรอดดด นี่ฉันออกจากการเป็นทูตสวรรค์มาทำแบบนี้งั้นหรอ?”
“นั่นมันเพราะฉันเชื่อในตัวเธอที่สุดต่างหากล่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่โอโรจิปรับตัวกับร่างใหม่ได้ฉันจะเปลื่ยนตำแหน่งให้ทันทีเลย”
“จริงนะ?”
“จริงสิ ฉันสัญญา”
“โอเค.. ถ้างั้นมาจุ๊บก่อน เร็วเข้าสิ”

หลังจากที่ได้รับคำยืนยันและได้รับการจูบเลียร่าถึงยอมปล่อยยูอิลฮานไป จากนั้นเธอก็ได้กลับไปบนป้อมปราการลอยฟ้าด้วยสายตาของทุกๆคนที่มองมาที่เธอ

เมื่อมิสทิคได้ไปที่โลกอื่นแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ 4 คนเท่านั้นที่อยู่บนป้อมปราการผู้พิทักษ์ นั่นคือยูอิลฮาน คิมเยซอล เฮเรียน่า และสุดท้ายคือโอโรจิที่อยู่ในร่างอิชจาร์ นี่เป็นองค์ประกอบของสมาชิกที่แปลกมากๆ

“ลูกนี่เนื้อหอมมากเลยน้า”
“แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย…”
“แม่มีความฝันใหม่แล้วว่าจะสร้างทีมเบสบอลด้วยหลานของแม่!”
“นั่นมันฝันร้ายสำหรับผมมากกว่า”
[ฟุฟุ ไว้ใจฉันได้เลย ฉันจะทำให้ดีที่สุด]
“ค่อยสบายใจหน่อย”

[ร่างกายใหม่ของข้ามันได้ยินไม่ชัดเลย]
“นาย…”

“จะมีคนมากแค่ไหนกันนะที่มากับเรา…?”
[อืมม ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีแมงเม่ามากแค่ไหนกัน]
“เฮ้ ระวังคำพูดหน่อย”
[ฉันก็แค่อยากจะบอกว่าที่รักเป็นเหมือนกับแสงดวงอาทิตย์ต่างหาก]
“ฮึ่ม..”

“คงต้องรีบแล้ว ยังมีอีกหลายที่เลยที่เราต้องไป”
“…ใช่แล้ว เราต้องรีบ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี