Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 115

ตอนที่ 115 บ้าไปแล้ว

“แกเขียนเพลงอะไรอะ”

“ให้ฉันฟังหน่อย”

“ทำไมไม่ให้ฉันฟังบ้าง”

“ของฉันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นปะแก”

สำหรับสาขาการประพันธ์เพลง ผลงานในการประเมินประจำภาคการศึกษาในครั้งนี้ ทุกคนดูคล้ายว่าจะอุบเงียบไว้ ต่างคนต่างระแวดระวังกัน ด้วยท่าทีว่าเพลงของฉันยอดเยี่ยมเหลือเกิน น้อยนักที่จะมีคนเปิดเผยเพลงของตนเองล่วงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ดำเนินมาถึงสิ้นเดือน ทุกคนส่งผลงานของตน

หลินเยวียนก็ส่งเพลงเช่นกัน

ความรู้สึกของนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงจำนวนมากนั้นเข้าใจได้ ทุกคนที่เลือกสาขานี้ก็ล้วนมีความฝัน

อยากเป็นพ่อเพลง และหลินเยวียนก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจผลงานของเพื่อนร่วมชั้นได้ดีที่สุด เพราะเขามีส่วนร่วมในการบรรเลงทำนองให้กับร้อยละเจ็ดสิบของเพื่อนร่วมชั้น

หากพูดกันอย่างเป็นกลาง

หลินเยวียนรู้สึกว่ามีผลงานของเพื่อนร่วมชั้นบางคนที่ไม่เลวเลย สภาพแวดล้อมด้านดนตรีของฉินโจวง่ายต่อการผลิตนักแต่งเพลงฝีมือดี ไม่แน่ว่าต่อไปในชั้นเรียนอาจมีปรมาจารย์ในวงการถือกำเนิดขึ้นสักคนสองคนก็เป็นได้

จะว่าไปแล้ว

หลินเยวียนก็มีความมั่นใจในเพลงความฝันแรกมากทีเดียว ในฐานะหนึ่งในเพลงให้กำลังใจซึ่งมีอิทธิพลที่สุดทั่วบ้านทั่วเมือง ความยอดเยี่ยมของเพลงนี้เป็นประจักษ์แล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ามีบางคนอาจยังไม่ค่อยรู้ ว่าเพลงนี้ไม่ใช่ผลงานต้นฉบับของที่นี่ แต่เป็นเพลงคัฟเวอร์ซึ่งฟ่านเหว่ยฉี[1] นักร้องแห่งแดนชานมไข่มุกนำมาจากซิงเกิลชื่อดังของนากาจิมะ มิยูกิ[2] ราชินีเพลงจากแดนอาทิตย์อุทัย

ชื่อเพลงว่า ‘ขี่หลังมังกรเงิน’

มิน่าล่ะในแดนมังกรถึงได้มีคำกล่าวว่านากาจิมะ มิยูกิได้อุ้มชูวงการเพลงภาษาจีน เพลงจากฮ่องกงและไต้หวันซึ่งคนส่วนมากชื่นชอบในช่วงวัยรุ่น เมื่อโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เพลงเหล่านี้ก็เป็นเพลงคัฟเวอร์ของผลงานจากแดนปลาดิบทั้งนั้น

ในช่วงสิ้นเดือนเดียวกันนี้

แผนกตีพิมพ์ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูกำลังรวบรวมยอดพรีออเดอร์เรื่องกระบี่เทพสังหารจากร้านหนังสือใหญ่แต่ละแห่ง จากรายงานของเจ้าหน้าที่ในสังกัด สีหน้าของซืออวิ๋นหัวหน้าหญิงแผนกตีพิมพ์ขณะที่พูดดูดีทีเดียว

“ร้านหนังสือหวาซินแปดหมื่นเล่ม”

“ร้านหนังสือหลงเสียงห้าหมื่นเล่ม”

“ศูนย์หนังสือปาฟางสามหมื่นเล่ม”

“ชมรมหนังสือหย่าจื้อสองหมื่นเล่ม”

“ร้านหนังสือเตียนเฟิงหนึ่งหมื่นเล่ม”

“ศูนย์หนังสือสือกวงหนึ่งหมื่นเล่ม”

ยอดรวมยังคงดำเนินต่อไป สีหน้าของซืออวิ๋นกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

กองบรรณาธิการของบริษัทเรียกได้ว่ามั่นอกมั่นใจในหนังสือเรื่องกระบี่เทพสังหารนี้เสียเต็มเปี่ยม

บรรณาธิการบริหารสั่งการด้วยตนเอง ดังนั้นจำนวนในการตีพิมพ์ครั้งแรกของหนังสือเล่มนี้จึงสูงถึงหนึ่งล้านเล่ม รามกับมั่นใจแล้วว่ายอดขายของนิยายเรื่องนี้ไม่มีทางเลวร้าย

ทว่าเห็นได้ชัดว่าตลาดนิยายไม่ได้คิดเช่นนั้น

ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูตีพิมพ์เรื่องกระบี่เทพสังหารออกมาถึงหนึ่งล้านเล่ม

แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่ซืออวิ๋นเห็นผลของสถิติ ยอดสั่งจองของร้านหนังสือน้อยใหญ่ในฉินโจวรวมกันแล้วก็ยังไม่เกินสองแสนแปดหมื่นเล่ม

อันที่จริงยังมีร้านหนังสือส่วนหนึ่งที่ตัดสินจากผลงานของนิยายเล่มก่อนของฉินโจว

“น้อยเกินไปแล้วล่ะมั้ง”

ลูกน้องของซืออวิ๋นซึ่งยืนอยู่ด้านซ้ายมือขมวดคิ้วมุ่น “ครั้งนี้พวกเราโปรโมตกันยิ่งใหญ่มาก ตามหลักแล้วยอดสั่งจองไม่มีทางน้อย แต่ตอนนี้ยอดสั่งจองออกจะน้อยไปหน่อยนะครับ ดูแล้วร้านหนังสือพวกนี้จะเหมือนกับหลายๆ สำนักพิมพ์ในวงการ คิดว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารจะขายไม่ดี”

นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นแนวเทพเซียนกำลังภายใน

ทันทีที่ข้อมูลนี้หลุดลอดออกไป ในวงการก็ปรากฏการถกเถียงต่างๆ นานา โดยทั่วไปแล้วจะมีสักกี่คนที่ชื่นชอบแนวเทพเซียนกำลังภายใน

หลายคนคิดว่าหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงนี้จะต้องขายไม่ออก

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูยอมตีพิมพ์ อาจเป็นเพราะไม่อาจปฏิเสธฉู่ขวงที่ยืนกรานจะตีพิมพ์

ต่อให้หนังสือไม่ได้ห่วย ยอดขายก็ไม่มีทางเทียบกับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก่อนหน้านี้ของฉู่ขวงได้

ในอินเทอร์เน็ตถึงขั้นมีคนทำแบบสำรวจมาโดยเฉพาะ กลุ่มเป้าหมายของแบบสำรวจคือเหล่านักอ่านเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

ผู้ที่กรอกแบบสำรวจมีสามตัวเลือก โดยถามว่าพวกเขาสนับสนุนหนังสือแนวเทพเซียนกำลังภายในเล่มใหม่ของฉู่ขวงหรือไม่

ผลลัพธ์คือ 6:3:1

ร้อยละหกสิบเลือกไม่สนับสนุน ร้อยละสามสิบเลือกสนับสนุน และร้อยละสิบของนักอ่านเลือกรอดูก่อน

ผลลัพธ์นี้ดูไม่เป็นไปในทางบวกนักสำหรับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง

ในตอนนี้ ร้านหนังสือแต่ละแห่งก็แลดูจะเห็นตรงกัน ไม่ได้ถูกอกถูกใจผลงานใหม่สักเท่าไหร่ ดังนั้นยอดสั่งจองจึงค่อนไปทางระมัดระวังไว้

สำหรับซืออวิ๋นแล้ว ก็นับว่าเป็นสัญญาณอันตราย!

หนังสือหนึ่งล้านเล่ม ขายออกไปได้สองแสนแปดหมื่นเล่ม งั้นที่เหลืออีกเจ็ดแสนสองหมื่นเล่มคงไม่ได้สูญเปล่าหรอกใช่ไหม

เธอตัดสินใจไปคุยกับบรรณาธิการบริหารดูสักหน่อย

หลี่ว์เป่ยบรรณาธิการบริหารกำลังนั่งเปิดอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องทำงาน เมื่อเห็นซืออวิ๋นมา ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ยอดสั่งจองเป็นยังไงบ้างครับ”

“ยอดรวมสองแสนแปดหมื่นเล่มค่ะ” สีหน้าของซืออวิ๋นแลดูวิตกกังวล

หลี่ว์เป่ยชะงักไป ขายออกไปแค่นี้เองหรือ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน