ตอนที่ 370 ขลาดกลัว
มีการถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับเพลงสิบปีและเพลงวันนี้ปีหน้า หลินเยวียนมักจะอ่านข้อความเหล่านี้เวลารู้สึกเบื่อ แต่เขาแทบจะไม่แสดงความคิดเห็นหรืออธิบายเกี่ยวกับมุมมองส่วนตัวอะไรเลย
อย่างที่เคยพูดไว้
ความสนุกของการตีความอยู่ตรงที่ต่างฝ่ายต่างจงใจไม่เอ่ยถึงเจตนาที่แท้จริง หากไม่จำเป็น หลินเยวียนเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทุกคนหมดสนุก
นอกจากนั้น เนื้อเพลงสิบปีของทั้งสองเวอร์ชันทำให้หลินเยวียนตระหนักได้ถึงความจริงเรื่องหนึ่ง
ถ้าหากทำนองของเพลงทำให้ผู้คนชื่นชอบได้ ความกระตือรือร้นที่ทุกคนมีต่อเนื้อเพลงก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
เนื้อเพลงที่ค่อนข้างคลาสสิกนั้นจะกลายเป็นที่จดจำของใครหลายคน เนื้อเพลงคลาสสิกบางท่อนถึงขั้นที่ฝังลึกลงในความทรงจำของสาธารณชน
ตัวอย่างเช่น ‘ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว ได้รับความรักไปก็ไม่ต้องกลัว’
นี่เป็นเนื้อเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากเพลงกุหลาบแดง เป็นที่เข้าใจได้ว่าคนที่ชื่นชอบเพลงนี้จะชื่นชอบเนื้อเพลงท่อนนี้
แม้แต่หลายคนที่ไม่ได้สนใจเพลงกุหลาบแดง ก็ยังรู้สึกประทับใจกับเนื้อเพลงท่อนนี้ หมายความว่าเนื้อเพลงไม่ธรรมดาแล้ว
เพิ่งเล่นมุกหนึ่งเพลงสองเนื้อเพลงไป ตอนนี้จะปล่อยเพลงกุหลาบขาวไปอีก กอปรกับการมีเนื้อเพลงสุดคลาสสิกเวอร์ชันภาษากลางมาเปรียบเทียบอีก กล่าวได้ว่าถูกที่ ถูกเวลา และอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหลือเกิน!
ต้องเข้าใจว่า เนื้อเพลงกุหลาบแดงและกุหลาบขาว ล้วนถูกเขียนออกมาโดยอ้างอิงจากนิยายเรื่องเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เคยเอ่ยถึงนิยายเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ‘กุหลาบแดงและกุหลาบขาว’ งานเขียนความยาวขนาดกลางของจางอ้ายหลิง
[ในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง จะมีผู้หญิงแบบนี้เข้ามาสองคน อย่างน้อยสองคน แต่งงานกับกุหลาบแดง นานวันเข้า สีแดงจะเปลี่ยนเป็นรอยเลือดของยุงบนฝาผนัง และสีขาวกลับเป็นแสงจันทร์กระจ่างข้างเตียง แต่งงานกับกุหลาบขาว สีขาวจะเปลี่ยนเป็นเมล็ดข้าวที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า สีแดงกลับกลายเป็นไฝสีชาดในหัวใจ]
ผู้คนนับไม่ถ้วนมักจะยกคำพูดนี้ขึ้นมาเมื่อประเมินนิสัยของผู้ชาย
นอกจากนั้น เป็นเพราะคำพูดนี้เอง ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในแดนมังกร
หลินเยวียนถึงขั้นเคยคิดว่าจะให้ฉู่ขวงเขียนนิยายเรื่องกุหลาบแดงและกุหลาบขาวออกมา แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่ายุคสมัยนั้นแตกต่างกัน ผู้อ่านบางคนอาจไม่สนใจอ่านต่อ นอกจากนั้นตนก็ไม่ได้ชื่นชอบแนวคิดบางอย่างของจางอ้ายหลิงเป็นพิเศษ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
นอกจากนั้น ไม่ใช่นิยายทุกเรื่องสามารถเผยแพร่ได้โดยที่ไม่รู้สึกขัดเขิน
เช่นเดียวกับเมื่อมีเรื่องกระบี่เทพสังหารแล้ว หลินเยวียนก็ไม่สามารถเขียนตำนานมือกระบี่ขุนเขาซู่ได้อีก
หากต้องสะท้อนแนวคิดหลักของนิยายออกมา เพลงกุหลาบแดงและกุหลาบขาวก็เพียงพอแล้ว
ฉู่ขวงเองก็ถ่ายทอดบทกลอนห้วงคำนึงในคืนสงัดออกมาในรูปแบบการเขียนตัวอักษรแล้ว
เมื่อผู้คนได้เห็นคำว่า ‘แสงจันทร์กระจ่างข้างเตียง’ ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาแหล่งที่มาให้วุ่น นับเป็นความเชื่อมโยงที่พิเศษระหว่างเซี่ยนอวี๋และฉู่ขวง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง’ จากสามองค์ประกอบแห่งความสำเร็จ
ใช่แล้ว
หลินเยวียนกำลังคิดว่าหลังจากที่เพลงกุหลาบขาวปล่อยออกไป เขาจะสรุปรวมความหมายของเนื้อร้องและความหมายของทั้งสองเพลง เปิดเผยแนวคิดหลักของนิยาย และช่วยให้ผู้คนเข้าใจเพลงทั้งสองมากขึ้น
เพราะเมื่อเทียบกับเพลงกุหลาบแดงซึ่งเป็นภาษากลางแล้ว เนื้อหาของเพลงกุหลาบขาวไม่ได้ตรงไปตรงมาถึงขนาดนั้น
และไม่ได้เหมือนกับเพลงตะวันฉาย ซึ่งทั้งที่เนื้อเพลงเป็นภาษาฉี แต่ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจได้ในทันที
วันรุ่งขึ้น
ซุนเย่าหั่วรีบมายังบริษัท ประโยคแรกที่พูดก็คือ “ฟันคุดเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ฉันมีหมอฟันที่สนิทกัน ให้เขาช่วยดูได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ดีขึ้นมากแล้ว”
หลินเยวียนเอ่ย “วันนี้ที่เรียกรุ่นพี่มาก็เพราะเรื่องอัดเพลง จะปล่อยเดือนตุลา ครั้งนี้เป็นเพลงกุหลาบแดงเวอร์ชันภาษาฉี”
“เวอร์ชันภาษาฉี?”
“ครับ เวอร์ชันนี้ชื่อว่ากุหลาบขาว นี่เป็นเนื้อเพลง ด้านหลังมีการตีความเนื้อเพลงอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็คำอธิบายถึงความเชื่อมโยงกับเพลงก่อนหน้า”
“ได้เลย!”
ซุนเย่าหั่วรับสำเนาเนื้อเพลงที่หลินเยวียนส่งให้ด้วยความตื่นเต้น “มีเพลงของรุ่นน้อง ฉันจะต้องเข้าไปเป็นนักร้องแถวหน้าได้แน่นอน!”
ไม่มีใครรู้ว่าซุนเย่าหั่วคาดหวังและมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนักร้องแถวหน้ามากขนาดไหน!
เมื่อได้รับเพลงกุหลาบขาวมา ซุนเย่าหั่วก็พลันมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเนื้อเพลงด้วยซ้ำไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน