ฉันไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ลู่จือสิงจะขอโทษฉันขึ้นมา ในช่วงเวลานี้ฉันจึงรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
“ฉันไม่ได้อยากจะกล่าวโทษคุณ ฉันแค่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันกับฉีซิ่วหรานเราไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดนะค่ะ”
เขากุมมือฉันแน่นขึ้น: “ผมรู้ ซูยุ่น ผมแค่ริษยาฉีซิ่วหรานมาก ริษยาที่เขาได้อยู่เป็นเพื่อนคุณตอนคุณท้องเป้ยเปย ริษยาที่เขาได้อยู่เป็นเพื่อนคุณตอนคลอดเป้ยเปย ริษยาเขาที่สามารถทำให้คุณไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเขาได้”
“ลู่จือสิง——”
เขาไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับฉันมาก่อนเลย เวลานี้เขากลับพูดออกมามากมายในรวดเดียว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่คาดฝันที่ตัวเองได้รับความรักมากขนาดนี้ขึ้นมา ภายในก้นบึ้งของหัวใจฉันจึงเกิดความหวานล้ำอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ชู่ว์ ซูยุ่น คุณฟังผมพูดให้จบก่อนครับ”
ฉันเม้มริมฝีปาก “ค่ะ”
“ผมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมสมควรได้รับ ตอนแรกถ้าผมไม่ทำกับคุณแบบนั้น เราสามคนก็คงไม่ต้องแยกจากกัน ผมก็คงไม่ต้องพลาดช่วงเวลาที่เป้ยเปยเกิด ซูยุ่น ผมแค่รู้สึกกลัว เขาดีกับคุณมากขนาดนี้ คุณอาจจะคิดว่าผมมันแย่มากแล้วไปกับเขาก็ได้”
ทุกถ้อยคำของเขาทำให้เบ้าตาฉันร้อนขึ้นมา จากที่กลั้นเอาไว้เริ่มจะกลั้นไม่อยู่แล้ว
น้ำตาหยดลงมาจากหางตา ฉันตีไปที่เขา: “คุณก็รู้ว่าตัวเองแย่นี่คะ!”
“ผมรู้ ผมรู้มาตลอด ซูยุ่น ในปีนั้นผมเชื่อคุณนะครับ”
พอเขาพูดจบ ฉันก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หลายปีมานี้ฉันไม่เคยลืมสายตาของเขาที่มองมาทางฉันอย่างเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในห้องทำงาน
คนทั้งโลกไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไรขอเพียงเขาเชื่อฉัน แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่แม้ว่าฉันจะเอาหลักฐานทั้งหมดมาวางกองไว้ตรงหน้าเขาก็ยังคงไม่เชื่อฉัน
มันน่าน้อยใจยิ่งนัก ผ่านมาสามปีกว่าแล้วฉันก็ยังไม่อาจปล่อยวางลงได้
คืนนี้ฉันร้องไห้เกือบชั่วโมงเห็นจะได้
เนื่องจากมะรืนนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว วันต่อมาฉันและลู่จือสิงจึงอยู่เก็บข้าวของในบ้าน
ฉันเห็นข้าวของในบ้านก็รู้สึกตัดใจทิ้งไม่ลง สิ่งของทุกชิ้นในนี้ล้วนเป็นของที่ฉันไปเลือกซื้อมาเองทั้งนั้น
สามปีกว่าแล้ว ฉันเป็นคนมิใช่ต้นไม้ใบหญ้าจะไม่มีความคิดความรู้สึกได้อย่างไรกัน
ฉันอยากขนของกลับไปให้หมด ทีแรกวางแผนว่าน่าจะเก็บได้สองกล่องแล้วส่งทางไปรษณีย์ไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ ฉันมองกล่องกระดาษขนาดใหญ่สามกล่องที่ห้องรับแขก จากนั้นก็หันไปหาลู่จือสิง: “ฉันทิ้งมันไม่ลงนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเราก็ไม่ต้องขายบ้าน ขายไปก็ได้เงินไม่เท่าไหร่หรอก เก็บไว้อีกหน่อยเรายังกลับมาพักที่นี่ได้นะครับ”
ลู่จือสิงพูดถูก ฉันไม่ทันได้คิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ฉันมีเพื่อนสนิทสองถึงสามคนอยู่ที่นี่ อีกอย่างคุณแม่ของฉีซิ่วหรานก็ดูแลฉันและเป้ยเปยเป็นอย่างดี ถึงฉันจะกลับเมือง A ไปแล้ว แต่ก็ควรจะกลับมาเยี่ยมเยือนพวกเขาบ้าง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉันก็เลิกจัดของทันที: “งั้นไม่ขายบ้านก็ได้ค่ะ ไม่แน่ว่าอีกสองปีราคาบ้านที่นี่อาจจะเพิ่มสูงปี๊ดก็ได้นะคะ”
“ขอเพียงคุณยอมกลับเมือง A กับผม แม้คุณอยากได้ดวงดาวผมก็จะหาวิธีไปเก็บดวงดาวลงมาให้คุณครับ”
ฉันชายตามองเขา: “ปากกระล่อนเสียจริง”
ปากฉันพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจรู้สึกหวานล้ำเกินจะควบคุมได้
ฉันไม่คิดว่าในยามที่ลู่จือสิงพูดคำหวานก็พูดได้คล่องปากมาก
ในเมื่อไม่ต้องขายบ้านแล้ว ฉันก็ไม่ต้องมานั่งเก็บข้าวของมากมายเหล่านี้อีก
ตั๋วเดินทางเป็นวันพรุ่งนี้ เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของหลี่เจียนี ฉันคิดอยู่ซักพักจึงหยั่งเชิงโทรไปดู
“ซูยุ่น?”
แล้วเธอก็ประหลาดใจจริงๆ เสียด้วย เรื่องเป้ยเปยทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แม้ว่าฉันกับเธอจะทำงานร่วมกันมานานขนาดนั้น แต่ก็ไม่เคยนัดกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้