หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 62

ฉันคิดว่าลู่ป่ายถงบ้าไปแล้วที่พูดออกมาอย่างนั้น “ลู่ป่ายถง ฉันเป็นภรรยาของลู่จือสิงนะ!”

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ดี งั้นเธอรีบไปได้แล้ว ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้พวกปาปารัสซี่จะไล่ตามมาอีก ฉันคงหยุดไว้ไม่ได้!”

เมื่อเห็นว่าเขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นต่อ ส่วนฉันก็ไม่อยากถูกนักข่าวตามเจอ คิดแล้วจึงจำใจหันหลังจากไป

ไม่คิดว่าพอออกมาจากประตูหลังแล้ว ฉันจะมาเจอกับนักข่าวที่นี่อีก

นักข่าวคนที่เห็นฉันกำลังถือกล้องถ่ายรูปแล้วถลันตรงมาทางนี้ ตอนนี้ฉันเพิ่งวิ่งมาถึงถนนและรีบวิ่งข้ามไปอีกฝั่งโดยไม่ทันคิดอะไร

ไม่รู้ว่าใครจอดรถไว้ข้างทาง ตอนแรกฉันตั้งใจจะเดินอ้อมไป แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปลดล็อกกุญแจและเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งเดินมาแล้วเปิดประตูเข้าไปในรถ

นักข่าวคนนั้นกำลังไล่ตามฉันทัน ฉันใช้เวลาเพียงสองวินาทีในการตัดสินใจ จากนั้นจึงเปิดประตูขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างไม่ลังเลและพูดกับชายคนนั้นขณะคาดเข็มขัดนิรภัยว่า “ขอโทษนะคะ มีคนไล่ตามฉันมา รบกวนคุณขับรถออกไปก่อนได้ไหม”

ชายคนนั้นมองฉันที่จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้าไปในรถของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณผู้หญิง ผมไม่รู้จักคุณ”

ฉันเพิ่งเคยทำเรื่องน่าอายแบบนี้ครั้งแรก แต่ว่านักข่าวสองคนกำลังไล่ตามมาแล้ว เมื่อมองผ่านกระจกหลังก็เห็นว่ายังมีนักข่าวอีกสองสามคนกำลังไล่ตามมาจากทางประตูหลังของบริษัท ถ้าลงจากรถตอนนี้ฉันไม่รอดแน่ๆ

ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ จะมึนตึงกับฉันแค่ไหน ฉันก็จะทำหน้าด้านไม่ลงจากรถเด็ดขาด “คุณคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ แต่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน รบกวนคุณอย่าให้ฉันลงจากรถเลยนะคะ คุณขับรถพาฉันไปสักห้านาที แล้วพอครบห้านาทีค่อยหาที่ให้ฉันลงสักที่ก็ได้”

ฉันหันไปขอร้องเขา หวังว่าเขาจะรีบขับรถออกไปเสียที

แต่ชายคนนั้นยังคงนิ่งเฉย “ผมไม่รู้จักคุณ”

ฉันไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะกระโดดขึ้นรถมาเจอคนขับที่แล้งน้ำใจในช่วงเวลาที่รีบร้อนแบบนี้ แต่ตอนนี้ยังไงฉันก็ลงจากรถไม่ได้เพราะมีคนถ่ายรูปอยู่ข้างนอกแล้ว

ในสถานการณ์นี้สิ่งที่ฉันทำได้คืออดทนตื้อเขาต่อไป “คุณคะ ยังไงตอนนี้ฉันก็ลงจากรถคุณไม่ได้!”

โตมาจนป่านนี้ ฉันเพิ่งเคยทำเรื่องน่าอายแบบนี้เป็นครั้งแรก

ชายคนนั้นจ้องมองฉันด้วยสายตาที่มึนตึงอยู่หลายวินาทีก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด

ฉันแอบโล่งใจเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกไปช้าๆ แต่ยังไม่ทันไรก็ต้องกังวลขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไฟจราจรข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง

รถออกมาได้พอสมควรแล้ว แต่นักข่าวที่อยู่ข้างหลังยังไล่ตามมา ฉันกลัวจริงๆ ว่าพวกเขาจะถ่ายรูปอะไรลงบนอินเตอร์เน็ตเพื่อใส่ร้ายฉันอีก

หลังจากรอเกือบหนึ่งนาทีไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นักข่าวที่อยู่ด้านหลังตามมาไม่ทันแล้ว

ฉันยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กำลังจะบอกผู้ชายที่นั่งข้างๆ ว่า “ขอโทษ” และ “ขอบคุณ” แต่พอฉันกำลังจะหันไปมองเขา รถก็หยุดทันที จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณลงไปได้แล้ว”

ฉันนิ่งงันไป หันไปมองเขาและชะงักมือที่กำลังหยิบกระดาษทิชชู “อะไรนะ?”

เขาอธิบายให้ฉันฟังอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด “ห้านาทีแล้ว คุณลงจากรถไปได้แล้ว”

“……”

ห้านาทีนั่นฉันแค่พูดเพื่อประวิงเวลาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนที่เถรตรงขนาดนี้ นี่เพิ่งออกจากตรงนั้นมาได้แค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นเอง

แต่ว่าฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้แล้ว จะได้ไม่ต้องเจอนักข่าวช่างตื้อไล่ตามมาอีก และฉันก็ไม่สนใจแล้วด้วย แม้ว่าการช่วยเหลือคนอื่นจะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าช่วยโดยที่ไม่มีใครร้องขอก็ถือว่าเป็นความผิดเหมือนกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้