หลงรักทนายคนเลว นิยาย บท 145

บทที่ 145 ใส่อะไรไม่ระวังตัวเลย

เป้ยฉ่ายเวยก็คิดว่าเธอไม่ได้ไปกวนอะไรเขานะ แล้วทำไมต้องมองเธอแบบนั้นด้วยล่ะ เห็นแบบนั้นเธอจึงหันตัวไปอีกด้านอย่างกระฟัดกระเฟียด และกดเปิดกระจกลง เมื่อลมพัดเข้ามา อารมณ์ถึงได้ดีขึ้นหน่อย

เฮ้อ คิดอยากจะโกรธก็โกรธ เธอไม่ง้อหรอกนะ

เหตุผลที่ฉูเจ๋อหยางดูไม่พอใจแบบนี้ มันเป็นเพราะว่าชุดที่เป้ยฉ่ายเวยใส่วันนี้เป็นชุดเกาะอกสั้น เขาไม่รู้เลยว่าเป้ยฉ่ายเวยจะมีชุดที่ดู “ไม่สงวนตัว” แบบนี้

ตรงส่วนหน้าอกโชว์ร่องอกขาวนวลที่กระเพื่อมขึ้นลง ยิ่งตอนเดินก็ยิ่งเป็นที่สะดุดตาของผู้ชายทั้งหลาย

ตรงส่วนกระโปรงก็สั้นจนเกือบจะถึงต้นขาอ่อน ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักระวังตัวเลย ใส่รองเท้าส้นสูงปลายแหลมขนาดนั้น ไม่รู้หรือไงว่าตอนเดินกระโปรงมันจะขยับตาม?

รถขับมาได้ครึ่งทาง อยู่ๆก็จอดลงเอาดื้อๆ

ร่างของเป้ยฉ่ายเวยเอนไปข้างหน้าโดยทันที อกนุ่มคู่นั้นที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงยิ่งดูเหมือนจะล้นทะลักออกมา เธอโอบกอดหน้าอกไว้อย่างเคอะเขิน หันหน้าไปถลึงมองชายหนุ่มด้านข้างอย่างเคืองๆ

ไม่รอให้เธอต่อว่า เขาก็เอาสูทตัวนอกปิดทับร่างกายเธอ ทำให้เสียงที่จะเอ่ยคำบ่นหยุดไป “ฉูเจ๋อหยาง อยู่ๆคุณหยุดรถทำไม”

ฉูเจ๋อหยางไม่ตอบแต่สตาร์ทรถขับออกไป หักพวงมาลัยขับกลับทางเดิม ริมฝีปากบางเฉียบเม้มจนกลายเป็นเส้นตรง ใบหน้าหล่อเหลาอึมครึม

อุณภูมิภายในห้องโดยสารคับแคบลดฮวบลง ต่อให้เป้ยฉ่ายเวยจะโง่แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ฉูเจ๋อหยางกำลังโกรธ ทั้งยังโกรธมากๆด้วย กอดเสื้อของชายหนุ่มไว้ในอ้อมแขน คิดไปคิดมาก็เผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เธอใส่ชุดนี้ดูก็รู้ว่ามันเผยเนื้อหนังอยู่บ้าง เทียบกับเธอที่เป็นคนระมัดระวังตัวมาตลอดก็คิดว่ามันโป๊อยู่หน่อยๆ แต่อันที่จริงมันก็เป็นแค่ชุดเกาะอกกระโปรงยาวทั่วไปหรือเปล่า ครั้งก่อนเธอจำได้ว่าชุดที่หนานฉิงใส่ยังจะแหวกลึกกว่านี้อีก

ก็ไม่เห็นเขาจะโกรธอะไร

และแน่อยู่แล้วเป้ยฉ่ายเวยยอมรับว่าเธอโกรธอยู่บ้าง “ฉูเจ๋อหยาง คุณทำอะไร? ไม่ไปงานเลี้ยงแล้ว?”

แววตาของฉูเจ๋อหยางแข็งกร้าว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้นว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้า”

“ทำไมต้องเปลี่ยน คุณเปลี่ยนแล้วไม่ใช่หรือไง” เป้ยฉ่ายเวยแกล้งทำโง่ไม่รู้อะไร เขาในตอนนี้แม้แต่เป็นfriend with befinits ของเธอก็ไม่ใช่แล้วมีสิทธิ์อะไรมายุ่งว่าเธอจะใส่ชุดแบบไหน

ฉูเจ๋อหยางกวาดสายตาเย็นๆมองเธอพูดยั่วยุอารมณ์ว่า “ผมไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผู้หญิงที่ผมพามาด้วยไม่สงวนตัวอย่างนี้”

เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ เป้ยฉ่ายเวยก็ระเบิดอารมณ์โดยทันที พูดขึ้นเสียงแหลมว่า“ฉูเจ๋อหยางคุณนั่นแหละไม่สงวนตัว งั้นก็เชิญคุณไปเปลี่ยนคนที่ดูสงวนตัวไปกับคุณแทนไป”

เมื่อฉูเจ๋อหยางเห็นเป้ยฉ่ายเวยโกรธ เขาจึงเย็นลง เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นว่า “คุณเองก็ยังยอมรับเลยว่าชุดที่ใส่มันดูไม่สงวนตัว เพราะงั้นก็กลับไปเปลี่ยนชุดซะดีๆ”

เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกว่าในหัวใกล้จะมีควันออกมาแล้ว จึงพ่นประโยคหนึ่งออกมาว่า “แล้วทำไมฉันต้องเปลี่ยน ฉันจะใส่แบบนี้ไป ทนายฉูความจำเสื่อมหรือไง ชุดนี้คุณเป็นซื้อเองนะ คุณซื้ออะได้ยินไหม?

ภายในรถเงียบลงถนัดตา มีเพียงแค่เสียงหอบของเป้ยฉ่ายเวย จริงๆเลย ต้องให้เธอพูดออกมาเองตลอด

ตอนนี้พอได้แล้วล่ะ ดันกลายเป็นตัวเองที่กระอักกระอ่วนซะเอง

เป้ยฉ่ายเวยประเมิณฉูเจ๋อหยางต่ำไป เขาปฏิเสธไม่ยอมรับว่านี่คือชุดที่เขาซื้อให้เป้ยฉ่ายเวย พูดขึ้นไม่ดังไม่เบาว่า “ไปเปลี่ยน”

วันนี้เป้ยฉ่ายเวยตามฉูเจ๋อหยางทันแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรกันที่คิดอยากจะให้เป็นแบบไหนแล้วต้องเป็นแบบนั้น ยังไงวันนี้เธอก็ต้องใส่ชุดนี้ไปให้ได้

เธอจัดเกาะอกของตัวเองให้ล่นลง สองมือก็กอดอกไว้ แบบนั้นยิ่งทำให้เห็นเนินอกเด่นชัด เธอพูดขึ้นด้วยเสียงใสๆที่ดูพอใจในตัวเองว่า “ฉูเจ๋อหยางก็ฉันไม่อยากเปลี่ยนหนิคะ”

——กรอด

รถจอดลงข้างถนนกะทันหันอีกครั้งไม่รู้บังเอิญหรือเปล่าที่ไฟข้างถนนเสียพอดี ถ้าไม่ตั้งใจมองดีๆ ก็ไม่มีใครเห็นว่าในที่มืดๆแบบนี้มีรถจอดอยู่

เป้ยฉ่ายเวยเอนกายไปข้างหน้าตามแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งก่อน เพราะหน้าผากโขกเข้ากับคอนโซลรถอย่างจัง แม้จะไม่เจ็บมาก แต่ก็พอที่จะทำให้เธอโมโห

“ฉูเจ๋อหยางนี่คุณป่วยหรือไง?”

“ใช่ผมป่วย คุณมียาไหม?”

เสียงของชายหนุ่มราวกับกำลังซ่อนความเยือกเย็นเอาไว้ จนทำให้ขนแขนของเป้ยฉายเวยลุกทันที มารู้ตัวอีกทีเธอก็มองไปยังชายหนุ่มที่กำลังแผ่ไอความเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ความเดือดดาลทั่วสรรพางกายถูกความเย็นยะเยือกหลอมละลายหายจนไม่เหลือในทันที

“มียาก็รักษาคุณไม่ได้หรอก” เธอตระหนักได้ในทันทีว่า ตัวเองตัดสินใจทำเรื่องที่บ้ามากแค่ไหน ที่โง่เง่าพยายามไปยั่วยุผู้ชายที่มีนิสัยชอบควบคุมทุกอย่างแบบเขา เธอล่ะอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด

เป็นเพราะวันนี้ไม่สดใสมากพอ หรือเป็นเพราะเรื่องของวันนี้มันยังไม่เร้าใจกัน เธอถึงได้บ้าดีเดือดแบบนี้

“เอ่อฉูเจ๋อหยางฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ฉันพูดผิด พูดผิดไปแล้ว”

เป้ยฉ่ายเวยถอยล่นไปข้างหลังไม่หยุด จนกระทั่งแผ่นหลังเหยียดเกร็งนั้นชนเข้ากับประตูรถ เมื่อไม่มีที่ให้หลบหลีกจึงหยุดนิ่ง พยายามพูดให้ฉูเจ๋อหยางเขยิบออกห่างจากตัวเธอหน่อย

จึงยืมคำพูดของเพื่อนสนิทมาใช้ที่ว่าเธอที่อยู่ต่อหน้าฉูเจ๋อหยางก็เป็นแค่หมาที่ตื่นกลัวตัวหนึ่ง

ชายหนุ่มนำเสียงหอบหายใจที่ดูมีท่าทีรุกรานรุกคืบเข้าไปใกล้เธอไม่หยุด ลมหายใจอุ่นร้อนที่แผดเผา รินลดอยู่บนปลายจมูกของเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ลองพูดอีกครั้งสิ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่”

เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกถึงความจั๊กจี้บนปลายจมูก รีบเอียงเอนศีรษะไปด้านข้าง สองมือกั้นเสื้อของฉูเจ๋อหยางไว้ ก้มหน้างุดอยู่กับอกแกร่งของเขา กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอโดยไม่รู้ตัว

เธอลองพยามยามเปลี่ยนเรื่อง “ฉูเจ๋อหยาง คุณจะไปงานเลี้ยงไม่ใช่หรอ พวกเราจะสายแล้วนะ”

เธอผิดไปแล้ว ผิดตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย เธอไม่น่าพูดอะไรที่มีเหตุผลกับชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้อารมณ์เดือดดาล มันไม่ต่างอะไรกับไก่คุยกับเป็ดหรอก ไม่เพียงแค่ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งยังจะเป็นการเอาตัวเองเข้าไปยุ่งซะเปล่า

“เฮ้ยๆ ฉูเจ๋อหยางคุณจะทำอะไร....”

ฟึบ เสื้อของฉูเจ๋อหยางที่กั้นตัวเองเอาไว้ถูกดึงออกไป มือที่เย็นเฉียบของเธอดันเสื้อเชิ๊ตตัวบางที่สวมทับอยู่บนหน้าอกรุ่มร้อนกำยำของชายหนุ่มไว้

ถ้าไม่ใช่เวลานี้ เธอก็คงอุทานแบบตกตะลึงแล้วหุ่นของฉูเจ๋อหยางดีมากให้ตายสิ

ฉูเจ๋อหยางถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เป้ยฉ่ายเวยก็ยิ่งถอยหลัง แม้ว่าจะถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้ว เธอก็ยังเอนหัวหลบข้างหลัง ฉูเจ๋อหยางยิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้น ใกล้ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจเขาที่มีหน้าอกกั้นไว้

ถ้าเธอหายใจแม้แต่นิดส่วนไวต่อสัมผัสของหน้าอกก็จะขยับสัมผัสกับเสื้อผ้าของเขา ในเวลาไม่นาน หูของเป้ยฉ่ายเวยก็แดงก่ำ

เธอรู้สึกได้ถึงแม้กระทั่งอุณหภูมิจากร่างกายของเขา จุดเล็กๆบนหน้าอกที่เดิมทีอ่อนนุ่ม ในเวลานี้ก็ค่อยๆแข็งขึ้นสัมผัสกับมือของเธอ แข็งขึ้นอย่างกับก้อนหินก้อนเล็กที่ดันมือเธออยู่

เป้ยฉ่ายเวยไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ กลั้นหายใจจนใบหน้าเล็กๆแดงไปหมด ไม่รู้เลยว่าฉูเจ๋อหยางจะทำอะไร รู้สึกว่าตัวเองช่างเหมือนปลาตัวน้อยที่กำลังขาดออกซิเจนอย่างน่าสงสาร ใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว

เธอมองคางที่เรียบเนียนจากการโกนหนวดของเขาอย่างชัดเจน ไหนจะริมฝีปากบางที่น่าจูบนั่นอีก

เขาคงไม่คิดจะจูบเธอหรอกนะ

หัวใจเต้นตึกตัก รัวและเร็ว

ทันใดนั้นตรงหน้าอกก็เกิดเสียงฉีกขาดดัง “แควก” ขึ้น

เขาดึงเอาแรงดันอันน้อยนิดของเธอออกไป ชายหนุ่มทำอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บนใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง น้ำเสียงซนๆที่คาดเอาอะไรไม่ได้เอ่ยขึ้น “ทำไม รอให้ผมจูบคุณหรอ?”

เมื่อเป้ยฉ่ายเวยได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่ม ใบหน้าก็ร้อนจัด ถ้าเอาไข่มาวางไว้ล่ะก็ คงสุกไปแล้ว เธอทั้งโกรธทั้งอายพูดขึ้นว่า “ใครรอให้คุณจูบกัน”

เมื่อครู่เธอไม่ได้ฟุ้งซ่านคิดว่าฉูเจ๋อหยางจะจูบเธอนะ ไม่ได้คิดเลยจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลงรักทนายคนเลว