หลงรักทนายคนเลว นิยาย บท 167

บทที่167 ไปแล้วก็ต้องกลับมา

เมื่อฉูเจ๋อหยางกลับถึงห้องผู้ป่วย ในห้องเงียบฉี่ไม่มีเสียงอะไร

เขาค่อยๆย่องเข้าไปและหยุดอยู่ที่ข้างเตียง เขาจ้องเป้ยฉ่ายเวยที่นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้สึกตัว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ผ้าห่มปกคลุมใบหน้าอันอ่อนโยน มีน้ำตาสองสามหยดติดอยู่บนขนตาอันโค้งงอ

เห็นแล้วก็ดูน่าสงสารอยู่บ้าง

เธอนอนอยู่ในท่าขดตัว มือที่ได้รับบาดเจ็บถูกทับอยู่ใต้ใบหน้า

ที่เป็นปฏิกิริยาของคนที่รู้สึกว่าต้องการปกป้องตนเองอย่างมาก ฉูเจ๋อหยางอดถอนหายใจไม่ได้

เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยกเธอขึ้นเบาๆและปรับให้เธอนอนอยู่บนหมอน เอามือเธอวางลงบนผ้าห่ม ระวังไม่ให้มือเธอถูกทับไม่อย่างนั้นเลือดจะไม่เดิน

ต่อจากนั้น เขาก็เอนตัวลงข้างๆเธอในลักษณะท่าทางเหมือนกำลังปกป้องเธออยู่บนเตียงแคบๆนั้น

ความจริงแล้วเป้ยฉ่ายเวยยังไม่ได้หลับไปจริงๆ เธอรู้สึกสะลึมสะลือเหมือนมีคนกำลังอุ้มเธออยู่ เธออยากจะลืมตาขึ้น เมื่อสูดดมกลิ่นก็ได้กลิ่นบุหรี่จากตัวผู้ชายคนนั้น จมูกเธอก็ฟุตฟิต เธอกัดฟันตัวเองแน่นจนได้ยินเสียงออกมาอยู่บ้าง

ไปแล้วจะกลับมาทำไมอีก

กลิ่นบุหรี่บนตัวเขาแรงกว่าตอนที่ออกไป เป้ยฉ่ายเวยเดาว่าเขาคงจะเพิ่งสูบบุหรี่มา เป็นเพราะว่าเธอ หรือเป็นเพราะว่ามีปัญหาที่ต้องรับมือมากเหลือเกิน

เธอไม่กล้าสำคัญตัวผิดคิดว่าเป็นเพราะเธอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอคงจะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจ

เป้ยฉ่ายเวยคิดว่าตัวเองหลบซ่อนเป็นอย่างดีแต่ว่ามีคนฉลาดกว่าเธอ ช่วงเวลาที่ฉูเจ๋อหยางอุ้มเธอขึ้นมา เขาก็รู้ว่าผู้หญิงในอ้อมแขนไม่ได้หลับอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เผยให้เธอรู้

เมื่อตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น ตำแหน่งที่ข้างกายเย็นเล็กน้อย เขากลับออกไปแล้ว

เป้ยฉ่ายเวยมองไปยังขอบเตียงอันว่างเปล่า ในใจเธอมีรสชาติที่อธิบายออกมาไม่ได้ เธออยากถามว่าทำไมเขาถึงกลับมา เมื่อรู้ว่าเขาออกไปตั้งแต่เช้า เธอก็โล่งใจขึ้นอีกครั้ง

เธอไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ซ้ำๆ

เช้าบ่ายมีคนคอยส่งข้าวส่งน้ำให้เธอ นอกจากรอแพทย์มาตรวจ ก็ไม่มีใครเข้ามาในวอร์ดอีก

แม้แต่เสียงฝีเท้าคนเดินก็ยังมีจำกัด

เธอได้แต่รอจนกว่าอวี๋ซือซือจะมา

เป้ยฉ่ายเวยร้อนใจอยากจะถาม แต่มันก็ไร้ประโยชน์เพราะมีคนตามติดอวี๋ซือซืออยู่ เธอได้แต่เก็บคำถามกลืนกลับลงไป

“ซือซือ เธอมาแล้ว”

“ใช่สิ เป็นไงบ้างดีขึ้นแล้วรึยัง” อวี๋ซือซือรู้ว่าเป้ยฉ่ายเวยอยากจะพูดอะไร แน่นอนว่าคนน่ารำคาญคนนั้นอยู่ด้วย เธอได้แต่ขยิบตาให้หล่อน เป้ยฉ่ายเวยจะได้วางใจ

เมื่อได้รับสัญญาณ เป้ยฉ่ายเวยก็เลยยิ้มได้ “อื้อ ดีขึ้นมากแล้ว”

อวี๋ซือซือมองใกล้ๆและพูดอย่างสงสัย “หรอ ทำไมฉันรู้สึกว่าสีหน้าเธอแย่กว่าเมื่อวานอีกนะ”

เธอเห็นว่าคนด้านหลังเธอกำลังจะเดินเข้ามา เธอจึงรีบกลับลำโดยด่วนและพูดอย่างหงุดหงิด “พวกเราจะคุยกันเรื่องของผู้หญิงนิดหน่อย ฉันว่าคุณไม่ได้อยากอยู่ฟังแน่ๆ”

ถังฉีตงได้แต่ถอยร่นกลับไป “ผมจะไปจัดการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล มีอะไรโทรหาผมนะ”

“จะมีเรื่องอะไร รีบออกไปเถอะ” อวี๋ซือซือพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ถังฉีตงยิ้มอารมณ์ดีและปิดประตูให้พวกเธอทั้งสองคน

“ซือซือ ที่จริงเธอไม่จำเป็นต้อง…” เป้ยฉ่ายเวยตั้งใจจะบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องไปดุถังฉีตงอย่างนั้นก็ได้

อวี๋ซือซือรีบขัดจังหวะในสิ่งที่เธอจะพูด “เธอไม่ต้องพูด หน้าเธอนี่ใช้แป้งเบอร์ไหนเนี่ย ขาวอย่างกับผี จะไปเล่นงิ้วหรืออย่างไร”

พูดแล้ว เธอก็ยื่นมือออกไปลูบหน้าเป้ยฉ่ายเวย ผิวหน้าให้สัมผัสกับมือเช่นนี้ ช่างเหมือนกับเจ้าขนมปังน้อยรุ่ยรุ่ยมาก น่าอิจฉาโคตร

เธอใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลประทินผิวทุกสิ่งอย่าง แต่ดูผลลัพท์ที่ออกมาสิ เธอไม่เห็นว่าเป้ยฉ่ายเวยจะดูแลผิวหน้าอะไร ทำไมผิวถึงได้นุ่มชุ่มน้ำได้ขนาดนี้

“เวยเวย เธอเป็นปีศาจเฒ่าแห่งหุบเขาเฮยซานแปลงกายมาใช่ไหม”

“ซือซือเธอพูดอะไรน่ะ เดี๋ยวก็เล่นงิ้ว เดี๋ยวก็ปีศาจเฒ่าเขาเฮยซาน เธอคิดว่าฉันเป็นปีศาจแปลงกายได้เจ็ดสิบสองร่างหรือยังไง” เป้ยฉ่ายเวยหัวเราะแทบร้องไห้กับเพื่อนที่หยิกหน้าเธอไม่หยุด หยิกแล้วหยิกอีก ทำอย่างกับเธอเป็นของเล่น

เธอจะพูดถึงเรื่องที่หนานฉิงแวะมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอารมณ์ซือซือจะต้องระเบิดอย่างแน่นอน

“เจ็ดสิบสองร่างซือหงอคงเป็นลิง เธอใช่รึเปล่าล่ะ” อวี๋วือซือเก็บมือ และมองดูใบหน้าน้อยๆของเป้ยฉ่ายเวยกลายเป็นสีแดง เธอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อย่างนี้ค่อยเหมือนคนหน่อย”

“ส่งรุ่ยรุ่ยกลับไปหายายแล้วรึยัง” เป้ยฉ่ายเวยคลึงหน้าตัวเอง หน้าที่ด้านชาจะยังสามารถเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกได้หรือไม่

“ส่งกลับไปแล้ว ฉันจัดการเธอวางใจได้ รับรองไม่มีใครพบเห็นแน่” อวี๋ซือซือเหลือบไปเห็นขอบสีแดงโผล่ออกมาจากใต้หมอนเป้ยฉ่ายเวย เธอจึงดึงออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่อะไร”

เป้ยฉ่ายเวยเห็นว่าบัตรเชิญของหนานฉิงตกอยู่ในมือของอวี๋ซือซือ เธอไม่รู้จะอธิบายมันยังไง

ไม่รอให้หล่อนอธิบาย อวี๋ซือซือถือวิสาสะเปิดดูเองเลย เมื่อเธออ่านเนื้อหาเสร็จ น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป “ชิบหาย หนานฉิงยังตามมาหลอกหลอนอีกเรอะ เธออยู่โรงพยาบาลแล้วหล่อนรู้ได้ยังไง แล้วยังจะเอาบัตรเชิญไปงานวันเกิดมาให้อีก ฉันว่างานต้องเว่อร์วังอลังการมากแน่”

“ซือซืออย่าพูดอย่างนั้นเลย หนานฉิงอาจจะมีเจตนาดีก็ได้” เป้ยฉ่ายเวยพูดเองเธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ

อวี๋ซือซือโมโหจนอยากจะคร่ำครวญ “สมองเธอถูกประตูหนีบหรือยังไง หล่อนให้เกียรติเธอขนาดนี้ งานวันเกิดของคนใจบาปอย่างนั้นมันน่าไปตรงไหน”

“ฉันรับปากหล่อนไปแล้ว” เป้ยฉ่ายเวยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง “ว่าไงนะ เธอตอบตงลงนางมารร้ายนั่นไปแล้ว ทำไมเธอไม่คิดให้มันดีดีก่อนนะ”

“ซือซือ นี่เป็นโอกาสที่ฉันจะกลับมาปรับความสัมพันธ์กับหนานฉิงนะ” เป้ยฉ่ายเวยรู้ว่าอวี๋ซือซือเป็นห่วงเรื่องอะไร แต่ว่าเธอก็ไม่อยากมองหนานฉิงในแง่ร้ายจนเกินไป

“เธอโลกสวยเกินไป มารร้ายแบบนั้นฉันเห็นมาเยอะแล้ว ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนดี ในใจกลับอัปลักษณ์มืดมนนัก หล่อนต้องวางกลอุบายเอาไว้ไม่น้อย เธอยังไม่รู้จักอะไรเรียกว่าคนหน้าไหว้หลังหลอก”

อวี๋ซือซือพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เพื่อนร่วมชั้นคนสนิทของเธอ นี่เป็นการแสดงล้วนๆ ทำท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ในใจก็แอบวางกับระเบิด ไม่รู้ว่าผู้ชายตอนนี้ไม่สนใจแล้ว หรือว่าเธอตาบอด”

ผู้หญิงมองผู้หญิง มาร้ายรึเปล่ามองปราดเดียวก็รู้

“ซือซือเธอพูดเกินจริงไปรึเปล่า” เป้ยฉ่ายเวยก็ละอายใจอยู่บ้าง เธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก เธอรู้ว่าโดยธรรมชาติชนชั้นสูง ภายในแล้วพวกเขาต้องต่อสู้กดดันกันเป็นอย่างมาก

แต่หนานฉิงก็คบกับเธอมาสามปี เธอก็ไม่เห็นหล่อนจะเป็นเช่นนั้น นอกจากตอนที่หล่อนเปลี่ยนไปหลังจากที่รู้ว่าเธอคบกับฉูเจ๋อหยาง ความสมองนกกระจอกเทศของเธอยังคงคิดว่านี่เป็นปรกติของมนุษย์

“พอพอ ฉันจะพูดอะไรเธอก็ไม่ฟังทั้งนั้น รอให้กำแพงบ้านหนานพังเมื่อไหร่ก่อนเถอะ หล่อนจะได้เข้าใจความเจ็บปวด” อวี๋ซือซือขี้เกียจจะพูดแล้ว “ในเมื่อเธอรับปากแล้วว่าจะไป ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วยก็แล้วกัน”

“ซือซือ เธอไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันหรอก” เธอรู้ว่าซือซือไม่ชอบออกงานเลี้ยงแบบนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลงรักทนายคนเลว