หลงรักทนายคนเลว นิยาย บท 191

บทที่191แทงใจแล้ว

“เราสองคนใครควงใครล่ะ” ทำไมอวี๋ซือซือพอฟังแล้วก็เงอะงะ ทำไมรู้สึกเหมือนเวยเวยกำลังบอกลาอยู่

เธอตกใจกับความคิดของตัวเอง ไม่น่าจะใช่หรอก เธอพูดอย่างจริงจัง “เวยเวย ถ้าเธอกล้าคิดจะทำอะไรโง่ๆโดยไม่บอกไม่กล่าวละก็ ฉันจะไม่ยกโทษให้เธอเลยตลอดชีวิต”

เป้ยฉ่ายเวยนิ่งอึ้งพยักหน้ารับคำ “ตกลง”

เธอเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ซือซือเลยรู้จักเธออย่างแท้จริง

อวี๋ซือซือได้ยินเธอรับปากจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

อวี๋ซือซือส่งเป้ยฉ่ายเวยกลับไปแล้ว ความจริงเธออยากตามขึ้นไปด้วยแต่เป้ยฉ่ายเวยปฏิเสธความหวังดีของเธอ และกลับเข้าไปที่อพาร์ตเม้นต์เพียงคนเดียว

เธอไม่ได้กลับมาบ้านประมาณครึ่งเดือนเห็นจะได้ โครงสร้างของห้องก็ยังคงเหมือนก่อนที่จะไป หลายสิ่งหลายอย่างหล่นกระจายเต็มพื้น เป้ยฉ่ายเวยเอากระเป๋าเดินทางเก็บเข้าไปในห้อง มัดผม และนำหน้ากากมาใส่ จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาด

เธอเปิดม่านหนาออกเพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างทุกบานในบ้านเพื่อให้อากาศอดอู้ได้รับการถ่ายเทระบายออกไป

ถูพื้น เก็บขยะ และทำความสะอาดทั่วทุกมุมห้อง

นอกจากโต๊ะฝุ่นเขลอะในห้องนั่งเล่น เป้ยฉ่ายเวยจับจ้องไปที่โต๊ะเปล่าตัวนั้น ในใจก็นึกถึงคราก่อนที่ลิ่วเอ่อร์ส่งหัวใจหมูมาให้ เธอจึงเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

ในที่สุดเธอก็ถูโต๊ะไปหลายต่อหลายรอบ พอเหนื่อยก็นั่งพักบนโซฟา

มองผลลัพธ์ของตัวเอง รอยยิ้มพอใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เธอคิดถึงเรื่องที่ต้องการจะทำและหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอลังเลอยู่นานก่อนที่จะสามารถรวบรวมความกล้าเพื่อโทรหาฉูเจ๋อหยาง

ครั้งนี้เป็นฉูเจ๋อหยางรับสายเอง เธอได้ยินแต่เสียงอันเย็นชาและแปลกแยกของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บแปลบขึ้นมา

“ฉูเจ๋อหยาง ตอนนี้คุณว่างรึเปล่าคะ”

“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”

ความอดทนนั้นมีเกินกว่าเสียงของมนุษย์อันเยือกเย็น เป้ยฉ่ายเวยจิกปลายนิ้วเล็กน้อย เธอบังคับปลายนิ้วตัวเองให้สงบลง การที่ฉูเจ๋อหยางมีน้ำเสียงแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ

ดังนั้นไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจเลย “ฉันหวังว่าคุณจะยังไม่ลืมเงื่อนไขสุดท้ายของเรานะ”

ดูเหมือนว่าจะกลัวถูกเขาปฏิเสธ เป้ยฉ่ายเวยพูดเสริมอีกประโยคด้วยความกังวล “ครั้งก่อนที่ฉันได้รับบาดเจ็บ คุณรับปากกับฉันแล้วว่าจะให้ฉันตอบฉันโดยเร็ว”

เธอแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเอ่ยถึงตัวเลข จะได้บินไปอยู่คู่กับหลี่จื่อเชียนล่ะสิ

ถ้าหากว่าเป้ยฉ่ายเวยเห็นดวงตาสีเข้มของฉูเจ๋อหยาง ณ เวลานี้เธอจะต้องไม่กล้าเอ่ยปากอะไรหยาบคายแน่ เพราะความเย็นชาในดวงตาของเขาเพียงพอที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขายังคงเปิดปากทำราวกับไม่แยแสอีกครั้ง “ตกลง ผมจะให้คำตอบคุณวันนี้”

เมื่อเป้ยฉ่ายเวยได้ยินคำตอบที่รอคอยมาตลอด ใจเธอก็ไม่ได้สงบเหมือนกับที่คาดคิดไว้ แต่กลับยิ่งฟุ้งซ่านยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้แยแสสนใจเธอสักนิดเลย

ยังดี ยังดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป

ยังดีที่เธอยังมีรุ่ยรุ่ย

เมื่อเธอได้ยินเสียงอันสงบนิ่ง ตัวเองก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดปกติ “อื้อ คุณว่ามา”

เสียงอ่อนโยนของฉูเจ๋อหยางพูดอย่างเนิบๆไม่เร็วไม่ช้าแต่เฉยเมย “เป้ยฉ่ายเวยตั้งแต่นี้เป็นต้นไปผมแค่ขอให้คุณไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”

ถ้อยคำอันหนาวเหน็บผ่านเข้ามาทางสัญญาณโทรศัพท์ เหมือนดาบคมที่ใครก็มองไม่เห็น มันแทงจนทะลุหัวใจและปอดของเป้ยฉ่ายเวย

เธอประสานมือแน่น หัวใจสลายกระทั่งความเจ็บปวดในร่างกายแผ่ซ่านไปจนทั้งร่างเหมือนกับเป็นอัมพาต และเพื่อรับคำขอสุดท้ายนี้ เธอก็พยายามเค้นเสียงออกจากลำคอ “ตกลง”

ตกลง ฉันรับปากคุณ ต่อไปจะไม่ไปปรากฏตัวให้คุณเห็นหน้า รับปากคุณ คนแปลกหน้าคนนี้ จากนี้ไปจะกลายเป็นคนแปลกหน้า

หลังจากนั้นมีเพียงเสียง ตู๊ด ตู๊ด

ความแข็งแกร่งของเป้ยฉ่ายเวยดูเหมือนจะถูกดูดหายไปหมดสิ้น โทรศัพท์ในมือตกลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปที่ด้านหน้าอันว่างเปล่า ในหัวเธอคิดถึงแต่คำพูดอันเย็นชาของฉูเจ๋อหยาง

ความไม่แยแสเช่นนั้น นั่นทำให้เธอเจ็บปวด

เธอบอกกับตัวเองอยู่แล้วว่าไม่ได้แคร์ แต่เมื่อได้ยินคำตอบที่เขาพูดออกมาจริงๆเพียงเบาๆเท่านั้น ทำไมมันถึงเจ็บปวดอย่างนี้นะ

เป้ยฉ่ายเวยออกแรงกุมหน้าอกแน่น แต่ไม่ว่าเธอออกแรงแค่ไหน ความเจ็บปวดทางกายก็น้อยกว่าความเจ็บปวดภายในใจเป็นหมื่นๆเท่า

ช่างเถอะ เจ็บไป เจ็บแบบนี้ก็ดี ทำให้เธอจำความรู้สึกแบบนี้ได้แม่น วันหลังจะได้ไม่พลาดกับเรื่องแบบนี้อีก

ในทำนองเดียวกันในทางฉูเจ๋อหยางอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ดีมากนัก

ในออฟฟิตนิ่งเงียบไปจนได้ยินเสียงหนึ่งดัง “ปัง” ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ราคาแพงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ไม่เหลือกซาก

คิดดูว่าเขาออกแรงไปมากแค่ไหน ถึงได้ทำให้มือถือพังขนาดนั้นได้

ประตูถูกผลักเปิดออกจากด้านนอก ผู้มาเยือนจ้องไปที่ซากบนพื้นและพูดว่า “ดูเหมือนว่าผมจะมาไม่ถูกเวลาล่ะสินะ”

นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยเห็นอาเจ๋อโกรธจนถึงขนาดขว้างปาโทรศัพท์เพื่อระบายอารมณ์

สายตาฉูเจ๋อหยางเบลอไปบ้างใบหน้าอันหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยหมอกควัน เขามองคนที่เข้ามาและพูดเนิบๆ “ว่าไง มีเรื่องอะไรว่ามา”

ถังฉีตงยักไหล่อย่างไร้เดียงสา ทำไมถึงพูดกับเขาว่ามีเรื่องอะไรว่ามา คนในโทรศัพท์ใช่เป้ยฉ่ายเวยรึเปล่า คุยอะไรกัน อยากรู้จริงๆ

แต่ในช่วงเวลาเลวร้ายนี้ เขายังไม่ควรล้ำเส้นจะยิ่งทำให้พ่อหนุ่มยิ่งโกรธกันไปใหญ่ “ผมแค่จะมาแจ้งข่าวคุณ เรื่องความเคลื่อนไหวของลิ่วเอ่อร์”

คิ้วฉูเจ๋อหยางย่นขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะฟังเขาว่าต่อไป

ถังฉีตงพูดโดยไม่กล้าล้อเล่น “ดูเหมือนเขาจะมีเส้นสายอยู่ในตระกูลเสิ่น”

ตระกูลเสิ่น ฉูเจ๋อหยางปลดกระดุมที่หน้าอก ความสงบกลับมาในดวงตาของเขา “ลองไปสืบดูจากเสิ่นเย่าว่าพี่ชายเขากำลังทำบ้าอะไร”

“ไม่มีปัญหา” ก่อนที่ถังฉีตงจะออกไปเขาก็ถามอีกคำ “คุณคงไม่ได้เพิ่งมีปากเสียงกับเป้ยฉ่ายเวยหรอกใช่ไหม”

กล่องใส่ปากกาลอยลิ่วมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าประสาทสัมผัสเขาไม่เลวแล้วล่ะก็ งานนี้คงได้มีเลือกตกแน่ และนั่นทำให้เขามั่นใจได้ในทันทีในสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้

อืม ทั้งคู่ต้องทะเลาะกันแน่ เขาจะต้องให้คนที่บ้านอยู่ห่างๆหน่อย ไม่ต้องเขาไปยุ่งมากนัก

โทรศัพท์ของฉูเจ๋อหยางพังแล้ว เขาให้หลินเหว่ยหาโทรศัพท์สำรองมาเปลี่ยนให้เขา เขาหยุดและสำทับอีกประโยค “ผมไม่ยักรู้ว่าบริษัทเราให้พักร้อนกันได้ตามอำเภอใจแบบนี้”

หลินเหว่ยกำโทรศัพท์ในมือ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขารู้สึกว่ามีความนัยบางอย่างในคำพูดของทนายฉู

เขาพยายามอย่างหนักที่จะใช้ประสาทสัมผัสที่หกอันยอดเยี่ยมของเขาอีกครั้งเพื่อที่จะแกะออกมาทีละคำทีละคำ

ก่อนอื่นโทรศัพท์มือถือพังก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ทำไมต้องให้เอาซิมใหม่ หรือว่าโทรศัพท์ถูกขโมย แต่ความเป็นไปได้นี้ก็แทบจะเป็นศูนย์

เพราะว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้วเขาก็ยังเห็นทนายฉูใช้โทรศัพท์อยู่เลย อีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คืออาจจะตกแตก บวกกับน้ำเสียงเยือกเย็นของทนายฉู ทำให้เขารู้สึกแน่นหน้าอกและรู้สึกว่าในออฟฟิตจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่

ไม่ได้การแล้ว เขาจะต้องลงไปชั้นล่างเพื่อสอบถามสถานการณ์

หลินเหว่ยสั่งให้คนอื่นไปดำเนินเรื่องขอโทรศัพท์ใหม่ ส่วนตัวเองก็เองก็รีบตรงไปที่แผนกบุคคล “พี่เหมย ช่วงนี้ใครที่ลาพักร้อนนานที่สุด”

หูวี่เหมยตอบโดยไม่ต้องเปิดบันทึกดูสักนิด “เป้ยฉ่ายเวย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลงรักทนายคนเลว