หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 158

ราชครูปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างมืดมิด สลบไปไม่ตื่น

อิ่งสือซันกระชับบังเหียนหยุดรถม้าและใช้วิชาตัวเบาพาคนผู้นั้นออกมา

ราชครูดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อิ่งสือซันใช้เวลาพินิจอยู่เนิ่นนานกว่าจะจำได้ “นี่คงไม่ใช่…ราชครูแห่งหนานจ้าวหรอกกระมัง?”

วันนี้ราชครูไปประสบกับสิ่งใดมากันแน่…

“คุณชาย” อิ่งสือซันมองไปที่รถม้า

เยี่ยนจิ่วเฉาที่นั่งอยู่ในรถม้าเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจ “ไปจวนอีกแห่งที่ภูเขาด้านหลัง”

“ขอรับ”

อิ่งสือซันโยนราชครูขึ้นบนรถม้า คุณชายของเขาเองเกลียดความสกปรก ไม่อาจทนให้นั่งร่วมกับเขาได้ จึงต้องให้เขาลำบากนอนที่เก้าอี้ด้านนอกสักพัก

เก้าอี้ด้านนอกรถกระแทกกระเทือนไปมาอยู่หลายครา จนใบหน้าของราชครูไม่อาจทนมองได้ยิ่งกว่าเก่า

จวนอีกแห่งของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นที่อาศัยที่ตั้งไว้เฉยๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่า ในหนึ่งปีมาพักอยู่ไม่เกินสามหรือสี่ครั้ง ทว่ามีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คอยทำความสะอาดทุกสามวันห้าวัน ที่นั่นจึงยังคงสะอาดและงดงาม

คืนนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอันใด แต่สิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉามีคือเวลาที่ต้องเสียไปกับราชครู

ภายในบ้านมีไอความร้อนอยู่เล็กน้อย คนรับใช้วางโต๊ะเล็กๆ ไว้ที่ทางเดิน สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อยๆ ชวนให้รู้สึกถึงความเย็นจากป่าเขา

จิ้งจอกน้อยขนสีขาวราวกับหิมะแอบเดินตามมาและนอนลงข้างเท้าของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างเชื่อฟัง พลางโบกอุ้งเท้าไปมาเพื่อปัดยุงที่มากัดมันเป็นครั้งคราว

อิ่งลิ่วไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับราชครู เอ้อร์ยาจากครอบครัวหวังหมาจื่อกับนางหลิวบอกว่าพบบุรุษผู้นั้น อีกฝ่ายยื่นขนมให้และถามนางว่าบ้านสกุลอวี๋อยู่ที่ใด ทว่านางก็วิ่งหนีไม่ได้สนใจเขา อิ่งลิ่วตรงไปที่บ้านสามของสกุลอวี๋ เถี่ยตั้นน้อยบอกอิ่งลิ่วว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาที่นี่ ถามถึงมารดาของเขาและถูกชิงเหยียนพาตัวไป

“เจ้ากำลังเอ่ยถึงบุรุษที่สูงเท่านี้ ผอมเท่านี้ และมีอายุพอๆ กับลุงใหญ่ของบ้านสกุลอวี๋หรือ?” ชิงเหยียนกล่าว

“ถูกต้อง” อิ่งลิ่วตอบ

ชิงเหยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว “ก็มีคนเช่นนี้อยู่ เขามาหาฮูหยินอวี๋เพื่อเจรจาทางการค้า ยามนั้นฮูหยินอวี๋ไปขุดผักอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง ข้าจึงพาเขาไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเส้นทางบนภูเขาไม่ดี เขาหกล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไป ข้าก็เลยพากลับมาที่บ้าน คิดว่าหากเขาตื่นแล้วก็จะพาส่งออกจากหมู่บ้าน ทว่าพอเขาตื่นขึ้นมาก็จากไปโดยไม่กล่าวอันใดสักคำ”

ชิงเหยียนไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับราชครู ตอนที่ราชครูสลบอยู่ในห้องก็ยังดูเป็นผู้เป็นคน

อิ่งลิ่วนำเรื่องราวที่สืบมารายงานต่อเยี่ยนจิ่วเฉา “ฮูหยินอวี๋ของราชครูน่าจะหมายถึงฮูหยินสาม ทว่าชิงเหยียนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฮูหยินใหญ่ จึงพาเขาไปที่ภูเขาด้านหลัง สุดท้ายเขาก็เป็นลมสลบไป”

เหยียนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “เข้าใจความหมายของราชครูผิดหรือจงใจล่อราชครูไปหาป้าสะใภ้ใหญ่ เกรงว่าคงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ความจริง”

“คุณชายหมายความว่า…พวกเขาแอบช่วยฮูหยินอวี๋อย่างลับๆ หรือ? เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนั้น? พวกเขารู้จักราชครู? หรือพวกเขารู้จักฮูหยินอวี๋? หรือว่า…” ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในใจของอิ่งลิ่ว

เยี่ยนจิ่วเฉาจิบชาและเอ่ยว่า “ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มุ่งร้ายต่อคนในหมู่บ้านเหลียนฮวา ก็ไม่จำเป็นต้องถามถึงที่มาของพวกเขา”

“ขอรับ” อิ่งลิ่วรับคำ

อิ่งลิ่วชื่นชมความคิดคุณชายของเขาเป็นอย่างมาก หากเป็นเขาคงสืบจนพบคำตอบของสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอย่างแน่นอน ทว่าคุณชายสามารถระงับความสงสัย ให้อิสระและให้เกียรติกับอีกฝ่ายได้มากพอ

จิตใจเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พบได้ในคนทั่วไป

“คุณชายคิดจะจัดการอย่างไรกับเขา?” อิ่งสือซันถาม

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา “เก็บไว้ก็เป็นเสี้ยนหนาม หากจะทำก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด ฆ่าเขาซะ”

“โปรดไว้ชีวิต!”

สิ้นเสียงพูดของเยี่ยนจิ่วเฉา เงาร่างสีดำก็กวาดผ่านมาในอากาศ อิ่งสือซันรีบยืนกั้นไว้ด้านหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา พร้อมกับชักดาบออกมาอย่างเย็นชา และกำลังจะเหวี่ยงดาบ เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงเรียบ “อิ่งสือซัน”

การเคลื่อนไหวของอิ่งสือซันหยุดชะงัก

อิ่งลิ่วเดินเข้าไปอยู่ข้างเขา พลันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหี้ยมโหด

บุรุษผู้นั้นลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่อนลงอย่างสง่างามในเรือนที่ดอกพุดซ้อนบานสะพรั่ง

จิ้งจอกหิมะตัวน้อยเบิกตากว้างด้วยความระแวดระวัง พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย

ผู้มาเยือนมาพร้อมกับพัดในมือ เขายกมือคำนับเยี่ยนจิ่วเฉาแบบไม่เป็นทางการ “เยี่ยนซื่อจื่อ”

เยี่ยนจิ่วเฉายกถ้วยขึ้น “ไป๋เสี่ยวเซิง”

ทั้งอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วต่างตกตะลึง บุรุษที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราและอัปลักษณ์ผู้นี้ก็คือไป๋เสี่ยวเซิงที่ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วยุทธจักร มีข่าวลือว่าไป๋เสี่ยวเซิงมีหน้ากากหนึ่งพันชิ้น ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ดังนั้นที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คงไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเขาเช่นกัน

ช่างน่าประหลาด เหตุใดถึงมาที่นี่ได้?

ไป๋เสี่ยวเซิงจับคางของเขา “ก็ไม่มีหรอก ดังนั้นซื่อจื่อต้องการรู้สิ่งใด ท่านเอ่ยมาได้เต็มที่เลย”

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา “ชีวิตคนไม่อาจแลกได้ด้วยข้อมูลเพียงสิ่งเดียว ไป๋เสี่ยวเซิง เจ้ากล้าแหกกฎที่เจ้าตั้งไว้มาตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในยุทธจักรเพื่อคนผู้นี้หรือไม่?”

ไป๋เสี่ยวเซิงแห่งยุทธจักร จะยอมขายข่าวเพียงข่าวเดียวให้กับคนหนึ่งคน และตลอดชีวิตของคนผู้นั้นก็จะไม่มีโอกาสซื้อข่าวจากไป๋เสี่ยวเซิงอีกเป็นครั้งที่สอง

ไป๋เสี่ยวเซิงกล่าวด้วยความหดหู่ “โอ้ ผู้ใดให้ข้าต้องเป็นหนี้เจ้านายของเขากันนะ”

เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยความสงสัย “ข้าเริ่มอยากรู้นิดหน่อยแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงเป็นหนี้เจ้านายของเขาได้?”

“ข้าคิดว่าท่านคงอยากรู้ว่าเจ้านายของเขาคือผู้ใด” ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้ม

“เจ้าบอกไม่ได้” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเฉยเมย

ไป๋เสี่ยวเซิงพยักหน้า “ใช่ เรื่องนี้ข้าบอกท่านไม่ได้”

ไป๋เสี่ยวเซิงหัวเราะ “ข่าวลือไม่อาจเชื่อถือ เยี่ยนซื่อจื่อเป็นคนฉลาดหลักแหลมเพียงนี้ หาใช่ขยะในประชากรใต้หล้า เช่นนั้นซื่อจื่อ ท่านต้องการทราบสิ่งใด?”

ปลายนิ้วเรียวยาวของเยี่ยนจิ่วเฉายกกาน้ำชาขึ้นรินให้ไป๋เสี่ยวเซิง “ราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว”

ไป๋เสี่ยวเซิงที่กำลังกินขนมพลันหยุดชะงัก ราวกับทั้งจวนเงียบสงัดลงทันใด

คนรับใช้กลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว ภายในจวนเหลือเพียงอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน

“โถ่” ไป๋เสี่ยวเซิงทอดถอนใจเบาๆ พลันวางขนมในมือลง “หากท่านบอกให้ข้าไปนำชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิงมาแลกเปลี่ยนยังดีกว่าเป็นไหนๆ”

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เห้อเหลียนฉีพ่ายแพ้แล้ว ชุดเกราะนั่นก็อยู่ในกระเป๋าของข้า หากเจ้าเอาเรื่องนี้มาเจรจาต่อรองกับข้า กำลังทำตัวเป็นขอทานอยู่หรือ?”

“ขออภัยที่ต้องเอ่ยตามตรง เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เรื่องของราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าวหรือ?” ไป๋เสี่ยวเซิงคลี่พัดในมือ สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพยายามดึงเบาะจนเหนื่อยล้า นั่งหมดเรี่ยวแรงหอบหายใจอยู่บนพื้น ไป๋เสี่ยวเซิงพัดให้มันด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “คืนนี้เจ้ามาขอเจรจากับข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามคำถาม”

ไป๋เสี่ยวเซิงหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ในยามนั้นฝ่าบาทถูกศัตรูล้างแค้น ทว่าศัตรูไม่อาจเข้าไปล้างแค้นกับฝ่าบาทที่อยู่ลึกในวังหลวงได้ จึงไปลักพาตัวเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องไม่ต้องการให้พวกเขาใช้ตนเป็นเครื่องมือคุกคามฝ่าบาท จึงวิ่งเข้าไปรับดาบของศัตรูด้วยความวิตกกังวล ยามที่ฝ่าบาทมาถึงร่างของเยี่ยนอ๋องก็เย็นเสียแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนรับใช้ที่มาเปลี่ยนผ้าห่อศพของเยี่ยนอ๋อง พบว่ามีตะกอนดินทรายในจมูกและปากของพระองค์ ผู้ที่จมน้ำตายเท่านั้นที่จะสูดตะกอนดินทรายเข้าไปในจมูกและปากได้ เยี่ยนอ๋องถูกดาบแทงตาย ตามหลักแล้วจึงไม่ควรมีสิ่งนี้ ซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไร?”

…………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]