ฟ้าเริ่มสาง เสียงระฆังดังขึ้นจากวัดพิษ ก้องกังวานไปทั้งทิวเขา เพรียกหารุ่งอรุณอันหลับใหลให้ตื่นขึ้น
เสียงระฆังจากวัดพิษดังมาถึงสำนักแม่ชีบนเขาอีกลููกหนึ่ง เหล่าแม่ชีในสำนักแม่ชีเริ่มปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
สำนักแม่ชีแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาหลายปี ทว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมามีแม่ชีจำนวนหนึ่งเข้ามาอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเริ่มมีการจุดธูปอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวัดพิษซึ่งอยู่ใกล้เคียงนั้นมีผู้คนแวะเวียนมามาก เมื่อเทียบกันแล้วจึงทำให้สำนักแม่ชีแห่งนี้ดูเงียบเหงายิ่งนัก
ที่นี่มีแม่ชีอาศัยอยู่สามคน คนหนึ่งเป็นแม่ชีอาวุโสซึ่งอายุมากแล้ว คนหนึ่งเป็นแม่ชีน้อยอายุประมาณสิบห้าสิบหก อีกคนหนึ่งเป็นแม่ชีวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าซึ่งดูงามสง่าโดดเด่น
สำนักแม่ชีมีคนมาจุดธูปไม่มาก นานๆ จะมีคนแวะเวียนสักครั้ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สำนักแม่ชีก็ยังคงเปิดเฉกเช่นทุกวัน
เมื่อทั้งสามคนตื่นนอนหลังจากที่ได้ยินเสียงระฆัง พวกนางล้างหน้าแปรงฟัง จากนั้นทำวัตรเช้า กินอาหารมังสวิรัติอย่างเรียบง่ายแล้วจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่จำเป็นใช้แรงงานมาก แม่ชีอาวุโสและแม่ชีน้อยนั้นงานไม่มาก มีเพียงแม่ชีวัยกลางคนที่ต้องตัดแต่งกระถางดอกไม้และปลูกต้นไม้
หลังจากที่นางจัดการต้นไม้และดอกไม้เสร็จเรียบร้อย แม่ชีน้อยก็โยนถังไม้สองใบใส่นางอย่างไม่เกรงใจ “ไปตักน้ำได้แล้ว! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะไปคนเดียว!”
แม่ชีวัยกลางคนมิได้โต้ตอบ นางค้อมกายลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา คว้าคานหาบข้างกำแพงมา แล้วหาบถังไม้ขึ้นบ่า
แม่ชีน้อยก็หาบถังไม้สองไปเช่นกัน ทั้งสองเดินออกไปพร้อมกัน
สถานที่สำหรับตักน้ำนั้นไม่นับว่าไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เดินออกจากสำนักแม่ชีไปทางทิศตะวันออก เดินไปประมาณสองหลี่ก็จะพบลำธารใสสายหนึ่ง ทั้งสองใช้ถังไม้ตักน้ำ แล้วหาบขึ้นมา
แม่ชีวัยกลางคนตักน้ำได้เกือบเต็มถัง แม่ชีน้อยรู้สึกเกียจคร้าน นางแสร้งทำเป็นตักน้ำได้เต็มถัง แต่เมื่อแม่ชีวัยกลางคนหันหลังกลับไป นางก็เทน้ำกลับลงลำธารไปครึ่งหนึ่ง
แม่ชีวัยกลางคนเดินไป พลางเหลือบมองแม่ชีน้อย
แม่ชีน้อยนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มองอะไร! เดินไปสิ! ล้มไปจะมาโทษข้าไม่ได้นะ!”
แม่ชีวัยกลางคนมิได้ตอบโต้ดังเคย นางหันหน้ากลับและหาบน้ำเดินกลับไปยังสำนักแม่ชีโดยมิได้ชายตามองแม้ชีน้อย
แม่ชีน้อยมักแอบอู้งานจนติดเป็นนิสัย ก่อนหน้านี้ใส่น้ำมาเพียงครึ่งเดียว ระหว่างทางก็ยังรู้สึกว่าหนักอยู่ จึงแอบเททิ้งไปอีก เมื่อกลับถึงสำนักแม่ชีก็เหลือน้ำอยู่เพียงน้อยนิด
แม่ชีน้อยแสร้งทำเป็นยกน้ำเทใส่ในบ่อ จากนั้นก็บอกแม่ชีวัยกลางคนว่า “ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ตักน้ำมาน้อย น้ำแค่นี้จะไปพอกินได้อย่างไร? เจ้าไปตักน้ำมาอีกสองครั้ง! ข้าจะไปทำกับข้าว!”
แม่ชีวัยกลางคนตอบว่า “ข้าคนเดียวตักน้ำมากเช่นนั้นไม่ไหวหรอก หากเจ้าไม่ไปกับข้า วันนี้ก็ไม่ต้องกินน้ำ”
แม่ชีน้อยนึกอยากเถียงต่อ ทันใดนั้นแม่ชีอาวุโสซึ่งอยู่ในห้องก็เอ่ยปากว่า “เอะอะโวยวายอะไรกัน? ยังไม่ไปตักน้ำอีก!”
แม่ชีน้อยไม่กล้าต่อปากต่อคำ จึงได้แต่แค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วไปหาบน้ำต่อ
ครั้งนี้นางยังคงตักน้ำเพียงครึ่งเดียวดังเคย
ทว่าเมื่อทั้งสองหาบน้ำกลับมา ก็บังเอิญไปเห็นเด็กน้อยนอนอยู่ข้างทาง
เด็กน้อยคนนั้นเนื้อตัวขะมุกขะมอม ดูแล้วน่าจะอายุไม่ถึงสามขวบดี ตัวอ้วนจ้ำม่ำ โกนผมจนเกลี้ยง มองดูเหมือนไข่กลมๆ ลูกหนึ่ง
ความสนใจของทั้งสองถูกเด็กน้อยดึงดูด แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางไม่เคยเห็นเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้มาก่อน มองเพียงครั้งเดียว ก็ละสายตาไม่ได้เสียแล้ว
ทั้งสองวางถังน้ำลง เดินไปยังเด็กน้อย แม่ชีวัยกลางคนนั่งยอง แล้วแตะไหล่เด็กน้อยเบาๆ
เด็กน้อย ‘ตื่นขึ้น’ ดวงตากลมโตคู่นั้นของเขาช่างงดงาม ลูกตาดำขลับราวกับไข่มุก น่ารักเสียจนหากใครได้พบเห็นเป็นต้องหลงรัก
ดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ ไม่น่าจะเป็นลูกหลานจากตระกูลยากจน อีกทั้งยังอยู่ใกล้วัดพิษ ที่นั่นมีคนแวะมาบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งสองจึงคิดว่าเด็กคนนี้ก็คือคนที่แวะเวียนมาเช่นกัน
แม่ชีวัยกลางคนเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เด็กน้อย เจ้ามานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? พลัดหลงกับคนที่บ้านหรือ?”
เด็กน้อยมองนางด้วยสายตาบ้องแบ๊ว
แม่ชีวัยกลางคนยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ได้มากับพ่อแม่หรอกหรือ?”
เด็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า จากนั้นก็พยักหน้า
“หมายความว่าอย่างไร?” แม่ชีน้อยไม่เข้าใจ
แม่ชีวัยกลางคนถามว่า “มากับพ่อหรือ?”
เด็กน้อยส่ายหน้า
แม่ชีวัยกลางคนจึงถามต่อว่า “มากับแม่หรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้า
แม่ชีวัยกลางคนเข้าใจทันที จึงบอกกับแม่ชีน้อยว่า “เขาน่าจะพลัดหลงกับแม่” จากนั้นก็พูดกับเด็กน้อยว่า “เจ้า
กลับสำนักแม่ชีกับพวกข้าก่อน ประเดี๋ยวพวกข้าพาเจ้าไปส่ง”
แม่ชีวัยกลางคนหาบน้ำขึ้นบ่า เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่ตามมา นางหยุดคิดครู่หนึ่ง วางคานหาบลงแล้วเทน้ำทิ้งไปหนึ่งถัง จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยใส่ถัง ฝั่งหนึ่งหาบน้ำ อีกฝั่งหนึ่งหาบเด็ก เดินกลับสำนักแม่ชีไปท่ามกลางอากาศร้อนระอุ
เด็กน้อยอยู่ในถังน้ำเกือบทั้งตัว มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมา น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
หลังจากลับไปยังสำนักแม่ชี แม่ชีน้อยก็วางถังน้ำลง แล้วเข้าไปอุ้มเด็กน้อย แต่เขากลับไม่ยอมให้อุ้ม
“ข้าเอง” แม่ชีวัยกลางคนอุ้มเขาออกมา “คนที่บ้านเขาน่าจะอยู่แถวนี้ ข้าจะพาเขาไปส่ง”
แม่ชีน้อยไม่ยินดี นางอยากอุ้มเด็กน้อย อยากพาเขาไปส่ง น่าเสียดายที่เขาไม่ยอม หากรู้เช่นนี้ นางน่าจะเป็นคนเข้าไปปลุกเด็กน้อย แล้วอุ้มเขาใส่ลงในถังน้ำ
แม่ชีน้อยเดินกระทืบเท้าออกจากห้องไปด้วยความเดือดดาล
แม่ชีวัยกลางคนกล่าวบอกกับแม่ชีอาวุโส แม่ชีอาวุโสตอบ ‘อืม’ ในลำคอ “เจ้าไปเถิด”
แม่ชีวัยกลางคนจูงมือเด็กน้อยเดินลงจากเขา
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงเชิงเขา รถม้าคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา และจอดใกล้ๆ กับทั้งสอง
ม่านของรถม้าเปิดออก เด็กน้อยร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาปล่อยมือจากแม่ชีวัยกลางคน แล้วโผออกไปหารถม้า
คุณชายวัยสิบเจ็ดสิบแปดคนคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ คุณชายคนนั้นเข้าไปกอดเด็กน้อย เด็กน้อยซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกของคุณชายคนนั้น
คุณชายยิ้มอย่างอ่อนโยน “ต้าเป่าคิดถึงแม่แล้วใช่ไหม?”
นี่เป็นเสียงของสตรี
และนางเรียกตนเองว่า…แม่?
ต้าเป่าพยักหน้า มือน้อยๆ ของกอดแขนของมารดา
อวี๋หวั่นอุ้มต้าเป่าขึ้นมา แล้วคำนับแม่ชีวัยกลางคน “ป้าสะใภ้ใหญ่”
ทันทีที่ถูกสตรีแปลกหน้าเรียกเช่นนั้น นางถานก็ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง
อวี๋หวั่นพูดอย่างรู้มารยาทว่า “ข้าชื่ออาหวั่น ท่านพ่อของข้าคือเห้อเหลียนเป่ยอวี้”
นางถานตื่นตะลึง “เป่ยอวี้เขา…”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เจ้าค่ะ เขากลับมาแล้ว เชิญป้าสะใภ้ใหญ่ขึ้นรถม้าไปสนทนากันสักครู่”
อวี๋หวั่นไม่ได้นำของยืนยันใดๆ มา เธอถึงกับมาเช่ารถม้าระหว่างทาง เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตา นางถานมีเหตุผลที่จะปฏิเสธอวี๋หวั่น แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น นางมองอวี๋หวั่นอย่างพินิจพิจารณาแล้วยกชายเสื้อก้าวขึ้นรถม้าไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]