หานจิ้งซูที่เพิ่งรินชาดอกไม้ดื่มไปหนึ่งคำ ถูกวาจาของอวี๋หวั่นทำให้ตกใจ…พ่นพรวดออกมา
“เจ้า…” หานจิ้งซูสำลักจนหน้าแดง
อวี๋หวั่นกลอกตา “ดูเจ้าสิ หน้าแดงหมดแล้ว เจ้าชอบข้าจริงๆ ด้วย!”
ฟันเงางามของหานจิ้งซูขบเขี้ยวกันแทบแตก นี่ นี่มันคำพูดบ้าบออันใด? นี่เป็นสิ่งที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ควรพูดหรือ?
“ข้าไม่ได้ชอบ!” หานจิ้งซูตะคอกเบาๆ
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ากำลังตอบแทนข้า?”
“อื้อ” หานจิ้งซูยอมรับอย่างลืมตัว หลังจากยอมรับก็ตระหนักได้ว่าตนถูกอวี๋หวั่นใช้กลอุบาย
นางผงะ มองอวี๋หวั่นอย่างเหลือเชื่อ ราวกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร และราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงคิดกลวิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้
เวลานี้เองจู่ๆ อวี๋หวั่นก็ตะโกนว่า “ไอ้หยา! ข้าได้ยินเสียงลูกร้องไห้! คงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในตำหนักเฟิ่งชีของพวกเจ้ากระมัง?”
ผู้คนในตำหนักตกใจสีหน้าเปลี่ยน พระชายาโปรดเอ่ยวาจาดีๆ สิ่งใดที่เรียกว่าเกิดเรื่องขึ้นในตำหนักเฟิ่งชีของเรา หากแพร่สะพัดออกไป พวกเราคงไม่รู้จะอธิบายกับฝ่าบาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างไร
เวลานี้ไหนเลยผู้คนในตำหนักจะยังมีกะจิตกะใจรับใช้อวี๋หวั่นกับหานจิ้งซู ทั้งหมดต่างก็วิ่งกรูออกไปตามหาไข่ดำน้อยที่ไม่รู้ว่าไปซุกซนอยู่ที่ใด
บรรดาข้าหลวงไปหมดแล้ว อวี๋หวั่นที่ตะโกนว่าบุตรของตนร้องไห้กลับนั่งจิบชาดอกไม้อย่างสบายใจ
หานจิ้งซูจึงเข้าใจว่าเหล่าข้าหลวงก็ถูกสตรีผู้นี้หลอกล่อเช่นกัน
จริงๆ แล้วการแสดงของอวี๋หวั่นดุดันเร่าร้อนมาก อย่างน้อยหานจิ้งซูก็คิดเช่นนั้น แต่ร่างกายของเธอกลับมีกลิ่นอายกดข่มราวกับกำลังพูดว่า มั่นใจว่าบุตรของข้าไม่ได้ร้องไห้อย่างนั้นหรือ? อยากเดิมพันสักตาดูไหมละ? หากเจ้าแพ้ก็ตัดหัวทั้งโคตร!
ข้าหลวงกล้าเดิมพันสิแปลก
ห้องโถงใหญ่เหลือเพียงพวกนางสองคน อวี๋หวั่นเอ่ยเข้าประเด็น “เอาละหานจิ้งซู พวกเราตรงไปตรงมาไม่พูดจาอ้อมค้อม เจ้ารู้แล้วหรือว่าผู้ใดเป็นคนแก้พิษให้เจ้า?”
มาถึงจุดนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว
หานจิ้งซูพิจารณาถึงหลายสิ่ง ความจริงนางไม่อยากเจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง[1]ผืนนี้ของนางกับอวี๋หวั่น แต่เมื่อทราบถึงไหวพริบของอวี๋หวั่น นางก็รู้สึกว่าต่อให้นางไม่อยากเจาะ อวี๋หวั่นก็จะทำทุกทางเพื่อเจาะมันให้ได้
หานจิ้งซูเอ่ยอย่างใจเย็น “ใช่ ข้ารู้แล้ว แม้ว่าสองวันนั้นข้าจะไม่ได้สติ แต่สมองของข้ายังรับรู้ทุกอย่าง ข้าได้ยินที่เจ้าคุยกับหมอเทวดาชุยแล้ว”
“เจ้าได้ยินมากเพียงใด?” อวี๋หวั่นถาม
“ข้าได้ยินทั้งหมด” หานจิ้งซูเอ่ย “เจ้าเรียกหมอเทวดาชุยว่าชุยเฒ่า และเหมือนว่ายังมีบุคคลที่สาม แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”
หานจิ้งซูไม่ได้ตั้งใจจะถามว่าบุคคลที่สามนั้นคือใคร ถึงถามไปก็คิดว่าอวี๋หวั่นไม่มีทางบอกนางอยู่ดี
ดวงตาของอวี๋หวั่นกลิ้งไปมา ตนพูดกับสัตว์พิษตัวน้อย แต่หานจิ้งซูคิดว่าตนพูดกับคน ดูเหมือนว่าหานจิ้งซูยังไม่รู้ตัวตนของสัตว์พิษตัวน้อย รู้เพียงความสัมพันธ์ของตนกับชุยเฒ่า และเรื่องที่ตนต้องฆ่ามือสังหารเพื่อคลายกู่ให้นาง
ตัวตนของสัตว์พิษตัวน้อยยังไม่ถูกเปิดเผยก็ดีแล้ว ยามจำเป็น เปิดเผยความลับเล็กน้อย รักษาความลับที่ยิ่งใหญ่ก็นับเป็นการเลือกภัยร้ายที่รุนแรงน้อยกว่า
อวี๋หวั่นจิบชาและเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าสนใจว่าบุคคลที่สามเป็นใคร เจ้าได้ยินมากเช่นนั้น คงเดาว่าข้ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชุยเฒ่าออก?”
“อื้ม” หานจิ้งซูพยักหน้า
อวี๋หวั่นเอ่ยต่อ “ความสัมพันธ์ระหว่างชุยเฒ่ากับรัชทายาทเป็นอย่างไร เจ้าก็รู้?”
หานจิ้งซูตอบตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง “ข้ารู้ว่าหมอเทวดาชุยเคยเป็นหมอหลวงและถูกสวี่เสียนเฟยใช้งาน ต่อมาได้ลาออกจากตำแหน่งหมอหลวง ออกไปใช้ชีวิตสมรรถะข้างนอก แต่จากนิสัยของสวี่เสียนเฟย หากตรึงคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ ก็จะไม่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างมีลมหายใจ”
อวี๋หวั่นทอดถอนใจเบาๆ “จริงๆ เจ้าก็รู้จักแม่สามีเจ้าเป็นอย่างดี ใช่ เขาเคยเป็นคนของรัชทายาท ทว่ายามนี้ เขาเป็นคนของเรา หากเจ้าอยากบอกรัชทายาทก็บอกเถอะ”
อวี๋หวั่นกล่าวเช่นนั้น แต่ในใจกลับรู้ดีว่าหานจิ้งซูไม่มีทางไปฟ้องเยี่ยนไหวจิ่ง
หากนางอยากฟ้อง คงฟ้องทันทีที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
นางเอ่ยขอบคุณตนนอกตำหนักเฟิ่งชี จากนั้นก็เตือนตนให้ระวังฮองเฮา เห็นชัดๆ ว่านางอยากตอบแทนคุณที่ตนช่วยชีวิตนางไว้
ต่อไปในอนาคตพวกนางจะทะเลาะกันหรือไม่ยังบอกยาก แต่อย่างน้อยยามนี้อวี๋หวั่นมั่นใจว่าหานจิ้งซูจะไม่คิดร้ายกับตน
เช่นนั้น สิ่งที่หานจิ้งซูพูดก็เป็นความจริง ฮองเฮากำลังวางแผนใช้อุบายกับตน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกห้องโถง ฮองเฮากลับมาแล้ว!
หานจิ้งซูรีบหยิบแก้วที่ตนดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้วกลับไปที่เก้าอี้ตรงข้ามอวี๋หวั่น
“นี่! ทอง!” อวี๋หวั่นนึกสิ่งที่สำคัญที่สุดขึ้นได้ ชี้ไปที่นางอย่างไร้เสียง
หานจิ้งซูขมวดคิ้วสับสน ทำปากเป็นคำว่า “อะไรนะ?”
“ทอง!” อวี๋หวั่นชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว และเอ่ยไม่มีเสียงว่า “หนึ่งหมื่นตำลึง! ไม่รับการขอบคุณปากเปล่า!”
“อะไรนะ?” หานจิ้งซูสับสน
ฮองเฮาเดินเข้ามา
อวี๋หวั่นหมดหวังแล้ว
ทองของเธอ เหตุใดถึงได้ยากเย็นเช่นนี้!
ยามที่ฮองเฮาเข้าตำหนักมา พบว่าบรรดาข้ารับใช้ต่างก็ไม่อยู่แล้ว จึงอดถามไม่ได้ “ไปที่ใดกันหมด?”
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “เหมือนพวกนางได้ยินเสียงร้องไห้ของต้าเป่ากับน้องชายอีกสองคน ก็เลยไปตามหาเพคะ”
พระพักตร์ฮองเฮาผ่อนคลายลง หันไปพูดกับหานจิ้งซู “นานๆ เจ้าจะเข้าวังมาสักครา ไปเยี่ยมเยียนเสียนเฟยสักหน่อยเถิด นางคิดถึงเจ้า”
อวี๋หวั่นกัดปากมองหานจิ้งซู
เครื่องรูดบัตร
อยู่ตรงนี้เลยนะ!
ให้ทองกับข้าก่อนแล้วค่อยไป!
“เพคะ” หานจิ้งซูคารวะฮองเฮาอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ
อวี๋หวั่นรู้สึกวิญญาณว่างเปล่า ทรุดตัวลงกับที่นั่งอย่างอ่อนแรง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า หลังจากหานจิ้งซูไปเยี่ยมสวี่เสียนเฟยแล้วจะเดินทางกลับบ้านทันที ทองคำหมื่นตำลึงของเธอ…หลุดมือไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
การมาของหานจิ้งซูครั้งนี้ เหมือนให้ความหวังอวี๋หวั่นอีกครั้ง และทำให้ความหวังนั้นกลายเป็นความสิ้นหวังอีกครั้ง อวี๋หวั่นอารมณ์ขุ่นมัว ไม่มีเวลาสนใจฮองเฮา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]