หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 363

เผ่าปีศาจมีเขตหวงห้ามอยู่แห่งหนึ่ง นอกจากผู้ที่ได้รับมอบหมายแล้ว คนอื่นในเผ่าก็ไม่อาจเข้าใกล้ แต่กลับมีเด็กวัยอยากรู้อยากลองกลุ่มหนึ่งขัดข้อห้าม อาโต้วก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตั้งแต่เล็ก อาโต้วติดตามเด็กแถวนั้น ‘ออกสำรวจ’ เขตหวงห้าม เพียงแต่น่าเสียดายที่การป้องกันที่นั่นแน่นหนาเหลือเกิน พวกเขาสำรวจกันอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจเข้าไปได้ จนครั้งหนึ่ง อาโต้วค้นพบคลองสายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับเขตหวงห้าม พวกเขาสามารถว่ายน้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามได้ ทว่าคลองสายนั้นค่อนข้างแคบ เด็กโตไม่สามารถเข้าไปได้ อาโต้วตัวเล็ก จึงว่ายน้ำเข้าไปกับเด็กๆ ซึ่งตัวเล็กกว่า

เขตหวงห้ามไม่มีอะไรน่าสนใจ

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ค้นพบสิ่งใด เห็นเพียงต้นไม้ไม่กี่ต้น ใบเป็นสีแดง ผลเป็นสีเหลือง อวบอิ่มงดงาม แต่น่าเสียดายที่ผลของมันมีรสฝาด ทั้งสองข้างมีต้นม่านหลัวถัว และรูปสลักหินซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างใด

รูปสลักหินนั้นหันไปยังดินแดนอันห่างไกล

ไกลออกไปคือทะเลทรายแห่งหนึ่ง ไกลสุดลูกหูลูกตา เมฆหมอกเบื้องล่างลึกล้ำจนสายตามิอาจหยั่งถึง

อาโต้วคิดว่า รอให้เขาเติบใหญ่และเรียนวิชาตัวเบาเสียก่อน เขาจะเหาะไปสำรวจทะเลทรายด้านข้าง

…ดังนั้นก็หมายความว่า สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็คือสถานที่ซึ่งเขาอยากเห็นมาตั้งแต่เด็ก?

มิน่าเล่า ครั้งแรกที่เขามาที่นี่จึงรู้สึกคุ้นเคยราวกับรอคอยมาเนิ่นนาน ทั้งรู้สึกยินดีและพึงพอใจ ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ เขาก็ไม่คิดอยากจากไปที่ใดอีกเลย

เขาพอใจกับพื้นที่แห่งนี้ไปเสียทุกอย่าง ทั้งภูมิประเทศและทัศนียภาพ ที่นี่ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้กลับบ้านเกิด

มารดามันเถอะ!

นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของเขาหรอกรึ?!

บุรุษชุดสีเทาแทบล้มทั้งยืน

อิ่งลิ่วเดินเข้าไปตบไหล่ของเขา “เอาเถอะๆ อย่าได้เศร้าไป มนุษย์หาใช่เทพเซียน ผิดพลาดกันได้ ก็แค่อาศัยอยู่ปากประตูบ้านของตนเองมาสิบปีเท่านั้นเอง…”

อิ่งลิ่วไม่รู้ว่าควรปลอบใจเขาอย่างไรอีก เขาหลงทางอยู่หน้าประตูบ้านของตนเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!

คนจากเผ่าปีศาจอันยิ่งใหญ่ไม่หยุดยั้งเพียงเพราะอุปสรรค ไม่จมอยู่กับความโศกเศร้า หลังจากบุรุษชุดสีเทาร่ำไห้ ก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความสามารถในการปรับเปลี่ยนสีหน้าของเขาทำให้อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันรู้สึกราวกับได้เปิดโลก

บุรุษชุดสีเทาเชิญพวกเขานั่งลงที่โต๊ะแปดเซียน[1] พร้อมกับไต่ถามพวกเขาถึงเรื่องราวของเผ่าปีศาจ อาม่า อาเว่ย ชิงเหยียน และเยว่โกวออกมาจากเผ่าปีศาจตั้งแต่สามปีก่อน ข้อมูลของพวกเขาจึงล้าหลังไปแล้ว กระนั้นเมื่อเทียบกับบุรุษชุดสีเทาซึ่งออกมาจากเผ่าปีศาจตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ข้อมูลของพวกอาม่าย่อมใหม่กว่าของเขามาก

“เจ้าฉางหม่านนั่นแต่งงานมีภรรยาแล้วหรือ! เมื่อก่อนข้ากับเขายังลอบเข้าไปในเขตหวงห้ามกันอยู่เลย!”

“อาชิวแต่งงานใหม่แล้วหรือ? ข้ายังคิดเสียอีกว่านางรอข้า”

“จ้าวอีเตาออกมาแล้วหรือ? ตอนที่ข้าจากมาเขายังถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน”

บุรุษชุดสีเทาฟังอาม่าเล่าเรื่องในเผ่า ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไม่ได้สัมผัสมานาน นี่เป็นความรู้สึกอบอุ่นที่หาไม่ได้จากการปล้นสะดมคาราวานพ่อค้า เขามองไปยังเหล่าชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “ใช่สิท่านนักบวช พวกเขาเป็นใครหรือ?”

อาม่ามองไปยังอาเว่ย ชิงเหยียน เยว่โกว รวมไปถึงอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน

ทันทีที่ได้ยินว่าอาเว่ย ชิงเหยียน และเยว่โกวเป็นคณะทูตแห่งแสงสว่าง บุรุษชุดสีเทาก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาว่า “ตอนนี้แม้แต่คนที่วรยุทธ์ไม่ได้เรื่องเฉกเช่นแมวสามขาอย่างพวกเขาพวกเป็นคณะทูตแห่งแสงสว่างได้หรือ?”

มะ…แมวสามขา?

สีหน้าของทั้งสามง้ำงอลงทันใด

“เฮ้อ เผ่าปีศาจไม่มีคนแล้วหรือ” บุรุษชุดสีเทาทอดถอนใจ

อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันมุมปากกระตุก ไม่มีคนแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ส่งยอดฝีมือออกไป แต่ไม่มีใครหาทางกลับเผ่าได้…

บุรุษชุดสีเทาเอ่ยถามถึงภารกิจ “ใช่สิ พวกท่านหาฮูหยินพบแล้วหรือยัง? เหตุใดจึงพาคนนอกเผ่ามาด้วยเล่า?”

อาม่าตอบว่า “คุณชายของพวกเขาถูกยาพิษ ต้องการไปตามหาตัวยาที่เผ่าปีศาจ ตอนที่ข้าอยู่ในต้าโจวได้รับการดูแลจากพวกเขา ครั้งนี้จึงหวังว่าจะช่วยพวกเขาได้บ้าง”

บุรุษชุดสีเทาร้อง ‘อ้อ’ ทันที แม้ว่าเผ่าปีศาจจะไม่คบค้าสมาคมกับคนนอกเท่าไรนัก แต่การตอบแทนบุญคุณนั้นพวกเขาก็ได้รับการสั่งสอนมาเช่นกัน นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาเป็นเพื่อนของนักบวช จึงไม่จำเป็นต้องซักไซ้ให้มากความ

“ฮูหยินเล่า?” บุรุษชุดดำถามต่อ

อาม่าตอบโดยมิได้มีท่าทีตื่นตระหนก “นางถูกทูตแห่งความมืดจับตัวไปก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในเผ่าแล้วหรือไม่”

“โอ้” บุรุษชุดสีเทาขมวดคิ้ว “ทำไมเหตุใดถึงเป็นทูตแห่งความมืดเล่า ทูตแห่งความมืดไม่ได้ใช้เพื่อกำจัดทูตแห่งแสงสว่างที่ทรยศหรอกหรือ? หรือท่านอ๋องคิดว่าพวกเราทรยศ?”

ไม่มีใครตอบ

เรื่องนี้ต้องโทษราชครู เขาออกตัวเอ่ยปากบอกเรื่องของพวกเขากับอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ อ๋องแห่งเผ่าปีศาจจึงรู้ว่าพวกเขาทรยศ และส่งทูตแห่งความมืดมาตามลากคอพวกเขา

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้อาโต้วรู้

อาโต้วเป็นคนดี และยังเป็นทูตแห่งแสงสว่างอีกด้วย

วรยุทธ์ของเขาเทียบเคียงกับซิวหลัวได้เสียด้วยซ้ำ หากสู้กันขึ้นมาจริง พวกเขารวมกัน ก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้

โชคดีที่อาโต้วไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่กล่าวว่า “หากจะกลับเผ่า ต้องเดินทางข้ามเขตหวงห้าม เขตหวงห้ามนั้นอันตราย พวกท่านต้องมียอดฝีมืออย่างข้าคอยคุ้มกัน! วันนี้พักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกท่านกลับไป!”

ฟ้ายังไม่สาง พวกเขาก็ทยอยกันตื่นนอน

หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย พวกเขาก็เดินทางไปยังชายแดนของทะเลทราย

อาเว่ยแบกสัมภาระ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร ชิงเหยียนกับเยว่โกวคิดว่าสัมภาระที่อาเว่ยแบกนั้นหนักกว่าปกติ

ทะเลทรายและทิวเขาฝั่งตรงข้ามอยู่ห่างกันนับสิบจั้ง ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดกระจ่าง จะไปต่อได้หรือไม่นั้นมิอาจคาดเดาได้ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะเดินข้ามทะเลทราย แล้วจึงปีนขึ้นไปบนภูเขาของเผ่าปีศาจ

แต่หากไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะทำอย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]