ตั้งแต่ตั้งครรภ์ อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าตนเองนอนมากกว่าแต่ก่อน แต่ว่าวันนี้ เธอตื่นเช้ากว่าปกติ มิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด หากแต่เพราะวัตถุดิบในวิหารเจาหยางกำลังร่อยหรอ ต้องลงเขาไปซื้อ ที่ผ่านมามักจะเป็นซือคงฉางเฟิงและลูกศิษย์ในวิหารลงไปซื้อ แต่เพราะครั้งนี้ของที่พวกเขาต้องการนั้นหลากหลายและซับซ้อนมาก อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจไปตลาดด้วยตนเอง
เมื่อเธอลืมตาขึ้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาไปฝึกวิชาอายุวัฒนะ อวี๋หวั่นเคยแอบถามซือคงฉางเฟิงว่าท่านตาทวดของเธอใช้เวลานานเท่าไรในการฝึกจากระดับหกไปจนถึงระดับแปด และคำตอบของซือคงฉางเฟิงก็คือการฝึกหนึ่งระดับใช้เวลาสิบถึงสิบสองปี
อวี๋หวั่นมิได้คาดหวังต่อสามีของตนแต่อย่างใด…
อวี๋หวั่นจัดแจงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ขณะที่กำลังเก็บของออกเดินทาง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากเขาหมิงซาน ไอเย็นแผ่ปกคลุมทั่ววิหารเจาหยางราวกับเหมันตฤดู ทั้งรุนแรง ทั้งเหิมเกริม แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
อวี๋หวั่นชะงักในทันใด “นั่นคือ…”
เธอยังไม่ทันได้นึกว่าเกิดอะไรขึ้น ในลานบ้านก็มีเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “จิ่วเฉาบรรลุวิชาอายุวัฒนะระดับเจ็ดแล้ว!”
อวี๋หวั่น “เอ๊ะ…”
ไม่ได้บอกว่าสิบถึงสิบสองปีหรอกหรือ?
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่ายังนอนอยู่ ส่วนต้าเป่าตื่นนอนแล้ว เขาลูบศีรษะกลมโล้น แล้วมองท่านแม่ด้วยสายตา
บ้องแบ๊ว
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปบีบปลายจมูกของเขาด้วยความเอ็นดู “ท่านพ่อบรรลุระดับแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่พูดอีกละ”
ต้าเป่าเอียงคอ กะพริบตาปริบๆ มองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพ่ายแพ้ต่อเขาราบคาบ เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกมาก เรื่องการพูดนี้ค่อยๆ สอนก็ยังได้
อวี๋หวั่นสวมเสื้อให้ต้าเป่า แล้วส่งกางเกงให้เขาตัวหนึ่ง ตอนนี้เขาสามารถสวมกางเกงด้วยตนเองได้แล้ว แม้ว่าท่าทางจะดูเก้ๆ กังๆ ไปสักหน่อยก็ตาม หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาก็เดินวนไปในเรือนรอบหนึ่ง
“สวมกางเกงเองหรือ?”
เป็นเสียงของชิงเหยียน
ต้าเป่าพยักหน้า
“ต้าเป่าเก่งจริงๆ!” ต้าเป่ายิ้มพลางยกมือขึ้นมาลูบศีรษะ
เขาไปที่ห้องของอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
อิ่งลิ่วบอกว่า “ต้าเป่าเก่งมาก!”
หลังจากนั้นก็ไปยังห้องของชุยเฒ่าและอาม่า
“โอ้โฮ ต้าเป่าของพวกเราทำได้อย่างไรนี่” ชุยเฒ่าชื่นชมต้าเป่าอีกยกใหญ่
น้องชายอีกสองคนตื่นแล้ว พวกเขาก็สวมกางเกงด้วยท่าทางเงอะงะเช่นกัน ทว่าทั้งสองมิได้โชคดีเหมือนต้าเป่า คนหนึ่งสวมกลับด้าน อีกคนหนึ่งสวมเข้าเพียงขาเดียว
ต้าเป่ามองไปยังน้องชายทั้งสองซึ่งกำลังต่อสู้กับกางเกง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง!
“อาจารย์อาเว่ยกำลังเก็บตัว ประเดี๋ยวพวกเจ้ากินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปหาท่านลุงชิงเหยียน เข้าใจไหม?” อวี๋หวั่นหยิบกางเกงขึ้นมาก แล้วสวมให้เอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าได้ฟังดังนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาทำตาโต พร้อมกับถามขึ้นว่า “ท่านแม่จะไปไหนหรือ?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่จะลงเขา…”
เสี่ยวเป่ากอดขาของอวี๋หวั่นแน่น “พวกข้าก็อยากไปด้วย!”
“อื้ม” ต้าเป่าพยักหน้าหงึกๆ
อวี๋หวั่นสู้พวกเขาไม่ได้ สุดท้ายจึงพาพวกเขาไปด้วย แต่เธอกำชับพวกเขาว่าห้ามงอแง ห้ามวิ่งเล่นไปไกล ทั้งสามตบอกสัญญา
จิงหงเป็นลูกศิษย์วัยเยาว์ที่ปราดเปรื่องที่สุดของวิหารเจาหยาง เขาเดินทางไปพร้อมกับอวี๋หวั่น เขาตระเตรียมรถม้าสองคัน คันหนึ่งให้แม่ลูกสี่คนนั่ง อีกคันหนึ่งใช้บรรทุกสินค้า ส่วนเขาและศิษย์พี่ใหญ่ทำหน้าที่เป็นสารถี
สถานที่ที่อันตรายที่สุดในตอนนี้คือเขาหมิงซาน อย่างไรเสียที่นี่ก็ถูกสกุลซางคอยเพ่งเล็งอยู่ตลอดเวลา หากเกิดการปะทะขึ้นมาเมื่อใด ในเมืองหมิงตูย่อมปลอดภัยกว่า
เขาหมิงซานมีทางออกลับอยู่แห่งหนึ่ง ทางออกนั้นไม่ได้อยู่ในสกุลซือคงหรือวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ หากแต่อยู่ที่แม่น้ำสายเล็กใกล้กับวิหารเจาหยาง หากข้ามผ่านป่าไผ่อำพรางตาได้ก็จะถึงทางออก อาเว่ยเคยหลงทางมาที่นี่ จึงได้พบกับทางเข้าไปยังเขาหมิงซานโดยบังเอิญ
“ผู้ที่รู้จักทางเข้าออกนี้มีไม่มาก นอกจากข้าและศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ก็ยังมีคุณชายฉางเฟิง” จิงหงอธิบายพลางอุ้มเด็กทั้งสามขึ้นบนรถม้า
“ความลับสุดยอดเช่นนี้ เจ้ามาบอกข้าทำไม” อวี๋หวั่นหยอกล้อเขา
จิงหงเกาศีรษะ “ท่าน…ไม่ได้เป็นลูกหลานของท่านปรมาจารย์หรอกหรือขอรับ? วันนั้นข้าได้ยินท่านเรียกท่านปรมาจารย์ว่าตาทวด”
อ่า เจ้าเด็กคนนี้ ที่จริงเขาก็รู้เรื่องของเธอแล้ว ถึงว่าหลายวันมานี้ดูขยันขันแข็งผิดหูผิดตา
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามว่าเขาได้ยินจากที่ไหน เรื่องนี้ไม่ได้สำหลักสำคัญอะไร ถ้าหากเธอต้องการปิดบัง เธอคงไม่พูดออกมาแต่แรกแล้ว แต่ที่เขาได้ยิน ก็เพราะเธอไม่ได้คิดปกปิดตัวตนแต่อย่างใด
“ใช่สิ ฮูหยิน ท่านจะซื้ออะไรหรือขอรับ” จิงหงเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าจะซื้อสมุนไพร เสื้อผ้า แล้วก็เครื่องเทศกับวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร”
จิงหงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “สมุนไพรกับเครื่องเทศหาซื้อได้ที่ร้านเดียวกัน วัตถุดิบสำหรับทำอาหารควรไปซื้อที่ตลาด ส่วนเสื้อผ้าสามารถซื้อได้ที่ร้านปักผ้าขอรับ”
“เจ้าวางแผนก็แล้วกัน” อวี๋หวั่นบอก พูดจบ เธอก็สังเกตเห็นว่าเด็กทั้งสามนั่งเงียบเชียบ จ้องมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง เธอถอนหายใจด้วยความเอ็นดู “แล้วก็ถังหูลู่”
ล้อรถเคลื่อนออกจากวิหารเจาหยางอย่างเชื่องช้า
ขณะที่รถม้าเคลื่อนผ่านเรือนของหลัวช่าน้อย หลัวช่าน้อยกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง สองมือเกาะกรงเหล็ก มันได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของพวกเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงล้อรถเคลื่อนผ่านไป
“เมื่อวานข้าเจอน้องชายด้วยละ!” เสี่ยวเป่าบอก
“ตอนนี้เจ้ามีน้องชายที่ไหนกัน?” อวี๋หวั่นลูบศีรษะของเขาเบาๆ
เสี่ยวเป่าโต้แย้ง “มีสิขอรับ! ข้าให้ลูกกวาดเขาด้วย!”
หลัวช่าน้อยมองไปยังลูกกวาดในกระเป๋า ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ จากนั้นมันก็หายไป ริมหน้าต่างเหลือทิ้งไว้เพียงโซ่เหล็กนิลเย็นเฉียบ
รถม้าเคลื่อนผ่านถนนใหญ่ซึ่งผู้คนพลุกพล่าน เด็กทั้งสามไม่ได้มาตลาดนานเหลือเกิน หัวใจดวงน้อยจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ พวกเขายื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองออกไปรอบๆ
อวี๋หวั่นกังวลว่าพวกเขาจะตกลงไป จึงใช้มือดึงเสื้อของพวกเขาไว้
“ท่านแม่นั่นคืออะไรหรือ?” เสี่ยวเขาชี้ไปยังลูกลิงในมือของชาวยุทธภพคนหนึ่ง
อวี๋หวั่นตอบว่า “ลูกลิง”
“อันนั้นละขอรับ?”
“โคมไฟ”
“อันนั้น?”
“ร้านขายลูกกวาด”
“อันนั้น?”
“ร้านขายซาลาเปา”
“อันนั้น?”
“หอ…”
…คณิกา
อวี๋หวั่นรีบดึงเสี่ยวเป่าเข้ามา จากนั้นก็จับต้าเป่าและเอ้อร์เป่านั่งเก้าอี้ให้เรียบร้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]