บทที่ 66 พล่ามมากเกินไปแล้ว ! (ต้น)
สถานศึกษาฉางหลาน !
เยี่ยฉวนมองศพของชายเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่ประดังขึ้นมาในอก “ในเมืองชิง การต่อสู้ของตระกูลใหญ่เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ก็นับว่าโหดร้ายพอแล้ว ข้าไม่คิดเลยการต่อสู้ช่วงชิงพลานุภาพระหว่างสถาน ศึกษาที่ยิ่งใหญ่จะทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความปราณีเช่นนี้”
พลันลู่เสี่ยวหรานชี้ไปที่แท่นกลมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางเดิน “สหายข้า เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ ?”
ชายหนุ่มหันไปทางที่มือชี้ ใกล้ที่พวกเขายืนมีแท่นกลมกว้างราว 36 จั้งเศษ บนแท่นปรากฏไม้แกะสลักหุ่นคน 9 หุ่นในมือถือกระบี่ไม้ยาว
หุ่นไม้ทั้งเก้าอยู่ในท่ายืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ !
“สิ่งของเหล่านี้คืออะไรงั้นหรือ ?” เขาพลันถามด้วยความใคร่รู้
ลู่เสี่ยวหรานจึงไขข้อข้องใจ “นี่คือค่ายกลมารเก้าชั้นอันเลื่องชื่อแห่งสถานศึกษาฉางมู่ ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งสถานศึกษาแห่งนี้เป็นผู้คิดค้น ในยุคสมัยราชวงศ์ชิงกำหนดให้ทำการสร้างค่ายกลในสถานศึกษาฉางมู่ใน แคว้นอื่นนับร้อยแห่งด้วย ค่ายกลมารเก้าชั้นออกแบบมาเพื่อทดสอบผู้มีความสามารถของท่านอาจารย์ใหญ่ แห่งสถานศึกษาฉางมู่ ผู้ที่อายุยังไม่ครบยี่สิบ หากสามารถฝ่าค่ายกลมารเก้าชั้นได้ คนผู้นั้นจะเทียบเคียงกับตัวของท่านสมัยยังมีสถานะเป็นศิษย์ คนคนนั้นจะได้รับเกียรติให้เป็นศิษย์สายตรง
ผู้มีอาวุโสส่ายหน้ากล่าวยิ้ม ๆ “แต่โชคไม่ดี นับเวลาเกือบ 50 ปีมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดฝ่าค่ายกลนี้ได้ อีกเลย”
ค่ายกลมารเก้าชั้น !
สายตาของชายหนุ่มมองไปยังหุ่นไม้แกะสลักทั้งเก้าอย่างครุ่นคิด “ค่ายกลมีพลังกล้าแกร่งเช่นนั้นเลย หรือขอรับ ?”
ลู่เสี่ยวหรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจือเศร้า “อานุภาพผิดจากค่ายกลทั่วไป ครั้งหนึ่งผู้ฝึกพลังขั้น ทะยานสวรรค์ตั้งเจตนาที่จะฝ่าทลายค่ายกล ทว่าในครั้งที่สิบเขาได้ถูกค่ายกลกลืนชีวิต นับเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะน้อยคนนักจะสามารถบรรลุถึงขั้นทะยานสวรรค์ คนเช่นนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร !”
“มีเสียงร่ำลือในสถานศึกษาฉ่งมู่ ว่าได้ส่งเทียบเชิญให้ผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วมาฝ่าทำลายค่ายกล ทว่าไม่มีใครรู้ว่านางตอบรับคำเชิญหรือไม่”
เยี่ยฉวนยังมิทันเอ่ยปาก เสียงประกาศของชายชราพลันดังก้องขึ้น “การทดสอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ !”
สิ้นเสียง ทุกคนที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าต่างพากันเร่งรีบเดินออกไป…
เยี่ยฉวนหันมาทางน้องสาว ลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนพลางหันมาพูดกับผู้มีอาวุโส “ผู้อาวุโสขอรับ ข้าขอฝากท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย !”
ลู่เสี่ยวหรานรับปาก “วางใจเถิด !”
เยี่ยหลิงที่เห็นดังนั้นจึงโผเข้ากอดก่อนร้องเร่ง “ท่านพี่ เร็ว ๆเข้า !”
เยี่ยฉวนยิ้มแหยและหันกลับรีบเข้าไปรวมกับกลุ่ม
เยี่ยหลิงมองตามหลังพี่ชายกลืนหายไปท่ามกลางฝูงคน มุมปากคลี่ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของนางพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สาวน้อยรู้สึกหนาวเยือกราวตกลงไปในโพรงน้ำแข็งอย่างฉับพลับ ทั้งเนื้อตัวมีไอเย็นระเหยแผ่ออกมาราวกับเป็นก้อนน้ำแข็ง
ลู่เสี่ยวหรานเห็นเช่นนั้นเขาตกใจแทบสิ้นสติ รีบพูดกับนางอย่างรวดเร็ว “ไป พวกเรารีบกลับที่พักก่อน เถิด !”
แต่คนป่วยกลับสั่นศีรษะปฏิเสธหนักแน่น “ท่านลุงลู่ ข้าไม่เป็นไร ข้า…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์