“อะไรนะ!” สาริศาเอามือคลำที่ท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว “คุณหมอ ฉัน……ฉันท้องแล้วจริงเหรอคะ”
“อืม หนึ่งเดือนแล้วครับ ยินดีด้วย คุณจะได้เป็นแม่คนแล้ว”
สาริศาตกใจอึ้งอยู่กับที่ ตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อยกับเรื่องราวที่ได้รับรู้มากมายขนาดนี้
“ตอนนี้สภาวะของเด็กยังไม่แข็งแรงมาก ช่วงนี้คุณอย่าพยายามใช้อารมณ์ขึ้นลงมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะมีผลเสียต่อเด็ก” คุณหมอกำชับสาริศา
“ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ฝืนยิ้มออกมาให้คุณหมอ สาริศาเดินออกจากสำนักงานด้วยท่าทีเหม่อลอย
เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงทางเดินระเบียงของโรงพยาบาล สาริศารู้สึกว่าสมองตัวเองเหมือนกับกาวเหนียวข้น คิดอะไรก็ไม่ชัดเจน สูดหายใจลึกสองสามครั้ง สาริศาหลับตาลง ค่อยเรียบเรียงความคิดตนเอง
ไขกระดูกของตนกับกันยาเข้ากันไม่ได้ ต้องหาคนบริจาคที่เข้ากันได้ใหม่ ตนเองอาจจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของกันยา แล้วก็ ตนเองตั้งท้องแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ สาริศาก้มหน้ามองท้องของตนเอง ตอนนี้ยังแบนราบ มีชีวิตน้อยกำลังเกิดขึ้นมาข้างในนั้นจริงเหรอ
สองมือสอดประสานกันวางไว้ด้านหน้าท้อง ในใจสาริศาตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย ในที่สุดเธอกับธนพัตก็มีลูกแล้ว
นึกถึงที่คุณหมอบอกว่าเด็กอายุหนึ่งเดือนแล้ว สาริศาแอบนับวันอยู่ในใจ น่าจะตั้งท้องวันก่อนหน้าที่ตนเองจะถูกจับตัวไปหนึ่งวัน
สาริศาอดที่จะนึกกลัวไม่ได้ ตอนที่ตนเองถูกจับไปนั้นดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อลูกเลยเหรอ เมื่อครู่คุณหมอก็บอกอย่างชัดเจนว่าอย่าให้อารมณ์แปรปรวนมากเกินไป แต่ช่วงนี้ตนเองร้องไห้แทบจะทุกวัน แบบนี้จะดีต่อลูกเหรอ
สาริศาโทษตัวเองเล็กน้อย ตนตั้งท้องแล้วแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ ทำให้ลูกต้องมารับความลำบากขนาดนั้นกับตัวเองในตอนแรก
“ลูก ขอโทษนะ ที่แม่ไม่ได้ปกป้องลูกให้ดี แม่รับรองว่า ต่อไปจะไม่ให้ลูกได้รับอันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว” สาริศาลูบท้องตัวเอง ขอโทษลูกน้อยในใจ
แม้จะดีใจที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ในเมื่อตนเองกับธนพัตก็เคยเฝ้ารอการมาของลูก คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูน้อยจะมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
แต่ใบหน้าสาริศากลับไม่อาจเผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา เมื่อคิดถึงว่าตนเองอาจไม่ใช่ลูกสาวของกันยา เธอรู้สึกว่าเหมือนมีใครเอาสำลีก้อนหนึ่งมายัดใส่ในใจอย่างนั้น อึดอัดจนเธอทรมาน
ไม่ได้ เรื่องนี้ตนต้องไปถามกันยาให้กระจ่าง
ลุกขึ้นยืนเดินไปทางห้องของกันยา ระหว่างทางสาริศาประหม่าและหงุดหงิดไม่สบายใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับแม่อย่างไรดี
ยืนอยู่หน้าประตูห้อง สาริศาลังเลว่าจะเปิดประตูบานนี้ดีหรือไม่ ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง สาริศาหันหลังเดินกลับไป เธอตัดสินใจแล้ว เธอไม่อยากถามกันยาเรื่องนี้
คิดเสียว่าคุณหมอตรวจผิดพลาดไป เธอก็คือลูกสาวของกันยา กันยาก็คือแม่ของเธอ พวกเธอสองคนยังใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่กันยาป่วย นึกถึงที่หมอเคยบอกกับตนเองไว้ สาริศาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าของตน
ตอนนี้กันยาจำเป็นต้องทำการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุด ถ้าตนเองไม่ใช่ลูกของเธอจริงๆ อย่างนั้นไม่แน่ว่าลูกสาวแท้ๆของเธออาจจะบริจาคไขกระดูกให้เธอได้ นี่อาจจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...