วันจันทร์ สาริศาตื่นนอนและกำลังจะลงไปรับประทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง แต่ว่า ทางโรงพยาบาลทำการติดต่อมาหาเธอ
“อะไรนะคะ?” สาริศาหยุดเดินตรงบันได “5หมื่น ภายในสองวันนี้ต้องจ่ายเหรอคะ ไม่ค่ะไม่ ไม่ใช่ว่าฉันจะหามาจ่ายไม่ได้ พวกคุณให้ยาได้เลยค่ะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปจ่ายเงินให้”
สาริศากดวางสาย ก่อนจะถอนหายใจออกมา
หลังจากที่อาการของแม่เธอดีขึ้น ยาทั้งหมดที่ใช้จึงกลายเป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งประกันส่วนใหญ่จะไม่ครอบคลุม เธอรู้สึกค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่นั่นคือชีวิตของแม่ เธอไม่สนใจไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่กัดฟัน แล้วกดโทรหาฝ่ายบุคลากร
“ขอโทษนะคะ ฉันอยากรบกวนขอรับเงินเดือนล่วงหน้าอีกครั้งค่ะ” สาริศารู้สึกกระดากอายเล็กน้อยตอนที่พูดออกไป “แต่แม่ของฉัน ค่ะ ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะรอนะคะ”
หลังจากวางสาย สาริศาก็ถอนหายใจออกมา แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร
ในห้องอาหาร ธนพัตกำลังนั่งทานโจ๊กอยู่ก่อนแล้ว พอเขาเห็นสาริศาเดินเข้ามา เขาจึงเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง “มีอะไรหรือเปล่า?”
สาริศาเดาว่า เขาคงเห็นเธอยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงบันไดแล้ว แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดยังไง จึงพูดแค่ว่า “อ๋อ เรื่องที่บริษัทค่ะ ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร”
ไม่ใช่ว่าสาริศาตั้งใจจะปกปิดเรื่องแม่ของเธอกับธนพัต แต่เธอไม่รู้ว่าพูดออกไปยังไงจริงๆ
จะบอกว่าแม่ของเธอกำลังป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล และกำลังต้องการเงินไปรักษาอย่างนั้นเหรอ?
ไม่ว่าจะมองยังไง ก็เหมือนเธอกำลังจะแบมือของเงินจากธนพัตมากกว่า
ถึงแม้พวกเธอจะเป็นสามีภรรยากัน ถึงแม้เธอจะเริ่มสนิทสนมและเริ่มพึ่งพาธนพัตบ้างแล้ว แต่สาริศาก็ยังทำไม่ได้ เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อคนอื่น
บางทีอาจเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่วัยเด็กแม่มักจะบอกกับเธอเสมอ ต่อให้ใครๆ จะหัวเราะเยาะว่าเธอไม่มีพ่อ หัวเราะว่าเธอเป็นลูกสาวนอกสมรสที่น่าขายหน้า เธอก็ต้องไม่แสดงความอ่อนแอออกมา และห้ามให้คนอื่นดูถูกได้
ธนพัตจ้องมองสาริศาที่กำลังหลบหน้าตนเองอยู่ แล้วครุ่นคิดสักพัก สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
เรื่องแม่ของเธอ เขาจะไม่รู้ได้ยังไงกัน?
เพียงแต่ว่า เขาไม่อยากเอ่ยปากจะให้ความช่วยเหลือเอง เขาเข้าใจถึงความดื้อรั้นและอารมณ์ที่อ่อนไหวของเธอดี เขากลัวว่ามันจะส่งผลต่อความไว้วางใจระหว่างทั้งสองคนที่แสนเปราะบางที่เขาอุตส่าห์พยายามสร้างขึ้นมาได้
ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ อย่าทำให้เธอตกใจกลัวเลยดีกว่า
พอมองไปที่ผู้หญิงตัวเล็กที่มีเรื่องครุ่นคิดอยู่ตรงหน้า ธนพัตก็ยกยิ้มอย่างจนใจออกมา
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่ไม่เคยลังเลในการตัดสินใจด้านธุรกิจ ไม่เคยลังเลอะไรมาก่อน แต่กลับเป็นเพราะสาริศา ทำให้เขาต้องคิดมาแบบนี้
“กินข้าวเถอะ” สุดท้ายเขาก็พูดออกมาเรียบนิ่ง “หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมจะพาคุณไปส่งที่สถานี”
สาริศาพยักหน้าให้ ในใจแอบโล่งอกที่ธนพัตไม่ได้บังคับจะไปส่งที่ใต้บริษัท
นี่หมายความว่า เขาเริ่มคิดจากมุมมองของเธอบ้างแล้ว?
พอนั่งรถไฟใต้ดินไปที่สำนักพิมพ์ สาริศายังไม่ทันได้นั่งพัก เลขาก็เดินมาบอกเธอ ว่าธีภพเรียกพบตัวเอง
สาริศาสีหน้าเคร่งขรึม
ตั้งแต่กลับมาจากเมือง Q ธีภพก็ไม่ได้กลั่นแกล้งตัวเองอีกเลย แต่ในเวลานี้กลับเรียกเธอไปหา เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ในใจยังคงสงสัย เธอเดินมาที่ห้องทำงานของธีภพ
“หัวหน้าบรรณาธิการคะ คุณเรียกพบฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“สาริศา” ธีภพมองไปที่สาริศาด้วยสีหน้าเย็นชา และพูดออกไปตรงๆ “ผมได้ยินมาว่าคุณอยากขอเงินเดือนของเดือนนี้ล่วงหน้าอีกแล้ว?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...