สาริศานั่งข้างๆกันยา เห็นกันยาสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ก็รู้ว่าช่วงนี้กันยาคงต้องลำบากตรากตรำไม่น้อยแน่นอน คิดว่าสำหรับกันยาแล้วคงผ่านไปได้อย่างยากลำบากมาก แต่สำหรับสาริศา นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของเธอที่ต้องสูญเสียลูกชายไป ความเจ็บปวดรวดร้าวแทบขาดใจแบบนั้น ก็เหมือนกับมีเนื้อชิ้นหนึ่งที่หลุดออกมาจากตัวเรา จากนั้นก็มองเห็นมันถูกเอาไปทอดในกระทะอย่างนั้น
คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจสาริศาก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทุกครั้งตอนที่สาริศาเป็นแบบนี้ ก็มักจะกลั้นหายใจไว้ ไม่พูดอะไร แต่พอตอนที่สาริศาหายใจ ก็จะเจ็บปวดใจยิ่งขึ้น
“สาริศา เธอ……ทำไม มาช่วยฉัน” ตอนนี้กันยาแม้แต่จะพูดยังลำบากมาก พูดออกมาด้วยความอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
สาริศามองดวงตาของกันยา แล้วตอบว่า
“คุณกลัวว่าฉันจะช่วยคุณ แล้วเอาคุณมาทรมานทีหลังเหรอ” ดวงตาที่สาริศามองกันยา รู้ว่ากันยากำลังกังวลเรื่องอะไร
หลังจากถามคำถามนี้ กันยาก็นิ่งเงียบไปเลยจริงๆ
“ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปโรงพยาบาลเถอะ” สาริศาที่ตอนแรกอยากจะด่าว่า ทรมานกันยาต่อไปเรื่อยๆก็เปลี่ยนใจพูดออกมา
ดูท่าทางแล้ว สาริศาไม่ได้เหมาะที่จะเป็นคนใจดำอำมหิตแบบนั้นเลย
สาริศาหัวเราะเยาะตัวเอง แบบนี้ก็ช่างเถอะ
อย่างน้อย พชิราก็ไม่เคยสนใจกันยาเลย
พอกันยาได้ยินคำพูดสาริศา จึงไม่พูดอะไรเลยสักคำ
กันยารู้ดีว่าถ้าสาริศาพูดขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเองแน่
ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนที่ตนเองเลี้ยงมาจนโต เธอรู้จักดี
กันยาคิดอยู่เช่นนี้ แล้วค่อยๆหลับตาลง
วินาทีนี้ สาริศาตกใจมาก รีบบอกให้บอดี้การ์ดขับรถให้เร็วขึ้นอีก
จากนั้นสาริศาก็ยื่นมือมาอังที่จมูกกันยา ยังดี ที่หายใจอยู่
ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล ก็ผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว สาริศารออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ถ้าลองนับดูแล้ว ตั้งแต่เจอกับธนพัตนี่เป็นครั้งที่หกแล้วที่ต้องมารออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
สาริศามีวาสนากับห้องฉุกเฉิน
ครั้งนี้ ไม่ได้ใจร้อนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เธอนั่งรอที่ม้านั่งด้านข้าง
ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเป็นกันยา สาริศาจึงไม่ได้สนใจ
แต่เพราะเธอสูญเสียรักแท้ในชีวิตนี้ไปแล้ว ใครจะมีเรื่องอะไรอีก เชื่อว่าอารมณ์ของสาริศาก็จะไม่ขึ้นลงแปรปรวนมากเท่าไหร่
ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะผลของการใช้จิตวิทยา สาริศารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รอนานมากเกินไป ก็มองเห็นกันยาที่ถูกเข็นออกมา สาริศาเดินเข้าไปถามอาการ พยาบาลถอดหน้ากากอนามัยพูดกับสาริศาว่า “ตอนนี้คนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ แต่ก็ต้องได้ไขกระดูกมาให้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นโอกาสรอดก็น้อยมากค่ะ”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ สาริศาก็พยักหน้ากับพยาบาล จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยาะเย้ย ตอนที่ลูกสาวยังมีชีวิตยู่ ก็ไม่มีไขกระดูกที่เข้ากันได้
ตอนนี้ลูกสาวเสียชีวิตไปแล้ว อย่างนั้นกันยาก็ต้องเป็นแบบนี้
สาริศาไม่แน่ใจว่าในใจรู้สึกอย่างไร ตอนที่ได้ยินว่ากันยาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ในใจก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายนัก
ตอนที่สาริศากลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย กันยาก็ตื่นแล้ว ดูท่าทางกันยาะมีภูมิคุ้มกันกับยาชาแล้ว ถึงได้ตื่นขึ้นมาภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้
สาริศาก้าวเข้ามา มองกันยาพลางเอ่ยว่า “หิวมั้ย จะกินข้าวมั้ย”
สาริศารู้ว่าตอนนี้กันยาหิวมาก ดังนั้นจึงมองกันยาอย่างเย็นยะเยือก
กันยาไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่มองท่าทางของสาริศา จากนั้นก็พยักหน้า สาริศาหมุนตัวเดินจากไป กันยานอนบนเตียงต่อ แล้วก็คิดเรื่องอะไรบางอย่าง
ไม่นาน สาริศาก็กลับมา เร็วจนทำให้กันยาตกใจจนพูดไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...