เจ็ดวันต่อมา
วันแต่งงานของหลินชิงไต้
จวนจ้านอ๋องแขวนโคมประดับผ้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กลับเป็นโคมไฟที่สว่างเจิดจ้า นายบ่าววิ่งเข้าวิ่งออกดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งหวานหว่านหยิบเครื่องสำอางออกมาแต่งหน้าให้หลินชิงไต้ แม้นางจะไม่เคยเรียนแต่งหน้าเจ้าสาวอย่างเป็นทางการ แต่อยู่ในสมัยโบราณเช่นนี้ การแต่งหน้าให้สวยงามยังคงไม่เป็นปัญหา
ส่วนการเกล้าผม แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของจื่ออีสาวใช้ของหลินชิงไต้ ซ่งหวานหว่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทรงผมในสมัยโบราณเลย แม้แต่ผมของตัวเองนางยังหวีไม่ได้เลย ยามไม่มีสาวใช้หวีผมให้ นางจึงทำแค่มัดเป็นทรงหางม้าเท่านั้น
“คิ้ว อายไลเนอร์ อายแชโดว์ ลิปสติก บลัชออน ยังมีตรงไหนอีกนะ เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง” ซ่งหวานหว่านพึมพำพลางจ้องหน้าหลินชิงไต้
“อา ยังไม่ได้ปัดมาสคาร่านี่นา เดี๋ยวติดแผ่นแปะตาสองชั้นก็สวยขึ้นแล้ว!”
ซ่งหวานหว่านหยิบแผ่นแปะตาสองชั้นออกมาตัดให้เข้ารูป ก่อนจะแปะลงบนเปลือกตาของหลินชิงไต้
“พี่สาว นี่คืออะไรกันเจ้าคะ รู้สึกคันๆ ไม่ค่อยสบายนัก” ขณะหลินชิงไต้พูดก็ต้องการยกมือขึ้นมาถู
ซ่งหวานหว่านรีบจับมือนางไว้แล้วพูดว่า “อย่าขยับ ใส่ไปสักพักประเดี๋ยวก็ชิน”
หลังแปะตาสองชั้นเสร็จ ก็ทาอายแชโดว์อีกครั้ง ก่อนหยิบมาสคาร่าออกมาปัดให้หลินชิงไต้
“เงยหน้าขึ้น ตามองลง”
หลินชิงไต้ทำตาม แต่พอมาสคาร่ากำลังจะเข้าใกล้ตา หลินชิงไต้ก็กลั้นจามไม่ไหว
ซ่งหวานหว่านจิตใจกำลังจดจ่อ ทำให้หลบไม่ทันไปชั่วขณะ จมูกของหลินชิงไต้จึงโดนมาสคาร่าเข้า จนจมูกเปลี่ยนเป็นสีดำ
“จบกัน เจ้าจะจามก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ทำเอาที่พยายามมาตั้งนานสูญเปล่าหมด ซ้ำต้องลบเครื่องสำอางที่จมูกแต่งใหม่หมด”
“พี่สาว ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้ากลั้นไม่ไหวไปชั่วขณะ” หลินชิงไต้ออดอ้อนพลางแลบลิ้นอย่างซุกซน
“เราสองคนน่าจะอายุต่างกันไม่มาก ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่สาวแล้ว เรียกแค่ชื่อข้าก็พอ”
“นั่นจะได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าจะเรียกชื่อท่านเฉยๆ ได้หรือ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าก็เรียกท่านว่าหวางเฟยแล้วกัน?”
“เอาเถิด เจ้าอย่าเพิ่งขยับ ข้าจะแต่งจมูกให้เจ้าใหม่”
“ได้ ข้าจะไม่ขยับแล้วเจ้าค่ะ” หลินชิงไต้นั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ซ่งหวานหว่านใช้เวลาไม่นานนักก็แต่งหน้าเสร็จอย่างรวดเร็ว ครั้นหยิบเอากระจกมาส่อง หลินชิงไต้ก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“หวางเฟย นี่ใช่ข้าหรือ ฝีมือการแต่งหน้าของท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ รู้สึกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
“ไม่ใช่เจ้าแล้วยังจะเป็นใครได้อีก แต่เดิมตัวเจ้าก็หน้าตาน่ามองอยู่แล้ว พอแต่งหน่อยก็สวยขึ้นแล้ว”
“ขอบพระทัยหวางเฟย”
ในเวลานี้ น่าหลันไท่เฟยที่อยู่ภายใต้การประคองของสาวใช้ก็เดินเข้ามา
“ถวายพะพรพระนางไท่เฟย” สาวใช้ในห้องรีบคุกเข่าคารวะ
“ลุกขึ้นเถิด เราแวะมาดู ถือโอกาสหวีผมให้เด็กคนนี้ด้วย”
“ขอบพระทัยพระนางไท่เฟยเพคะ”
น่าหลันไท่เฟยรับหวีที่จื่ออียื่นส่งให้นาง จากนั้นจับผมขึ้นมาปอยหนึ่ง แล้วหวีจากโคนจรดปลาย พร้อมกับกล่าวคำอวยพรว่า “หวีหนึ่งครั้งจรดศีรษะ ร่ำรวยไร้กังวล หวีสองครั้งจรดปลาย เทิดทูนสามียกสูงเสมอคิ้ว หวีอีกครั้งจรดปลาย สามีภรรยาสมัครสมานรักใคร่ เสมอต้นเสมอปลาย ร่ำรวยมีเกียรติตลอดชาติ”
ซ่งหวานหว่านฟังจนดวงตาเบิกกว้าง ก่อนหน้านี้ตอนนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไม่มีใครหวีผมเช่นนี้ให้นาง มีแต่สาวใช้กับหมัวหมัวที่บังคับใส่ชุดแต่งงานให้นาง บนหน้าบ่าวรับใช้ก็จงใจแต่งให้ออกมาราวกับผี
อนิจจา ชาติหนึ่งแต่งงานได้ครั้งเดียว ของข้าไม่เรียกว่าแต่งงานด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับการสู้รบเลย
ขณะซ่งหวานหว่านกำลังโอดครวญอยู่นั้น เด็กรับใช้คนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังมาจากหน้าประตู “เกี้ยวเจ้าสาวมาแล้ว เกี้ยวเจ้าสาวมารับเจ้าสาวแล้ว”
“เร็ว รีบสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว” น่าหลันไท่เฟยออกคำสั่งกับสาวใช้
จู่ๆ ซ่งหวานหว่านก็นึกสนุกขึ้นมา คิดถึงตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน ยามที่เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวจะถูกเพื่อนเจ้าสาวสร้างความลำบากให้เล็กน้อยก่อน นางอยากให้ขั้นตอนรับเจ้าสาวของหลินชิงไต้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้จึงรีบวิ่งตรงหน้าประตูแล้วปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...