“เสด็จแม่ ท่านมาที่นี่ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เรามาหาเจ้าแน่นอนว่ามีเรื่อง” น่าหลันไท่เฟยเล่าเรื่องของหลินชิงไต้ครั้งหนึ่ง
“เจ้าแค่ประกาศให้คนภายนอกรู้ว่าเด็กสาวคนนี้คือน้องสาวบุญธรรม แล้วค่อยแต่งนางออกไปอย่างสง่างามสมเกียรติ ก็นับช่วยยวนยางชะตาอาภัพคู่นี้สำเร็จแล้ว”
เจียงอู๋วั่งได้ฟังมุมปากก็กระตุกยิกๆ ใครเป็นคนเสนอความคิดแย่ๆ นี้กัน? ทั้งยังให้ข้ารับน้องสาวบุญธรรมอีก เข้าใจผิดกันหรือไม่ แค่สตรีผู้หนึ่งเท่านั้น ขับออกไปก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ยังจะทำให้ยุ่งยากเช่นนี้อีก!
เจียงอู๋วั่งคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา
“เด็กคนนี้เป็นเด็กน่าสงสารคนหนึ่ง เราตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยนางสักครั้ง ถือเสียว่าสร้างบุญกุศลให้เจ้ากับหว่านเอ๋อร์”
“เอาเถิด เสด็จแม่ ลูกจะประกาศให้ภายนอกรู้ว่านางเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วกัน” แม้ในใจเจียงอู๋วั่งจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่เขาไม่ต้องการทำให้เสด็จแม่เสียใจ จึงได้แต่รับปากอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก
“เด็กดี พรุ่งนี้เจ้าส่งคนไปจวนเสนาบดีของหอไท่ฉังในนามจวนอ๋องเพื่อคุยเรื่องแต่งงานกับตระกูลหาน ในเมื่อรับเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้ว ก็ให้นางแต่งออกไปจากจวนอ๋องแล้วกัน”
เจียงอู๋วั่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลับจำต้องรับปากอย่างเสียมิได้ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลินชิงไต้คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ‘โครม’ โขกศีรษะราวกับทุบกระเทียม
“หม่อมฉันขอบพระทัยพระนางไท่เฟย ขอบพระทัยท่านอ๋องและหวางเฟยเพคะ บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้หม่อมฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนชาติหน้าขอเกิดเป็นวัวเป็นม้ามาตอบแทนบุญคุณพระนางไท่เฟย ท่านอ๋องและหวางเฟยเถิดเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด! เราเองก็เพราะเห็นแก่หน้าหว่านเอ๋อร๋จึงช่วยเจ้า หากเจ้าอยากจะตอบแทนก็ตอบแทนหว่านเอ๋อร์ให้มากๆ เถิด”
ซ่งหวานหว่านก้มลงประคองหลินชิงไต้ให้ลุกขึ้น ตบๆ ไปที่มือของนางแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ โรงหมอของข้ากำลังจะเปิดกิจการ หากเจ้าต้องการตอบแทน ก็มาที่โรงหมอของข้าช่วยข้าดูแลจัดการแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ พี่สาว น้องสาวจะทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลโรงหมออย่างสุดความสามารถ”
ตกบ่ายวันนั้น เจียงอู๋วั่งก็ประกาศต่อภายนอกว่าหลินชิงไต้เป็นน้องสาวบุญธรรม
หลินจื้อชงรองเสนาบดีหอไท่ฉังที่ได้รับข่าวก็มาคารวะกล่าวคำขอบคุณที่จวนจ้านอ๋องด้วยตัวเอง หลังหารือเรื่องการแต่งงานเสร็จถึงค่อยไปจากจวนจ้านอ๋อง
วันต่อมา
พ่อบ้านจวนอ๋องนำของขวัญที่น่าหลันไท่เฟยเตรียมไว้กับของขวัญที่ตระกูลหลินส่งมา นำมาสู่ขอกับตระกูลหาน
หานเส้าหลินและภรรยาต้อนรับพ่อบ้านของจวนอ๋องเข้าไปด้วยความตกตะลึงเต็มใบหน้า หลังพ่อบ้านบอกกล่าวเหตุผลที่มาอย่างชัดเจน หานเส้าหลินและภรรยาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
บุตรชายสุดที่รักของพวกเขาเกือบจะจบชีวิตเพราะหลินชิงไต้ สองสามีภรรยาเห็นอยู่กับตาทั้งร้อนรนกังวลใจ กลับไม่รู้จะทำเช่นไร
หานเส้าหลินและภรรยาเฝ้ามองเด็กทั้งสองเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เดิมก็พอใจในตัวหลินชิงไต้เป็นพิเศษอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเข้ามาแทรกแซง เกรงว่าคนทั้งสองคงจะมีลูกกันไปแล้ว
ครั้นหานฉีได้ทราบข่าวดีอันใหญ่หลวงนี้ ก็ลุกขึ้นจากเตียงอย่างตื่นเต้น ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย หลังจากผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จก็ต้องการจะไปที่จวนจ้านอ๋อง
“ซู่เอ๋อร์ นี่เจ้าจะไปไหนหรือ?” บิดาสกุลหานขวางเขาไว้
“ท่านพ่อ ลูกกำลังจะไปจวนจ้านอ๋องเพื่อขอบคุณหวางเฟยขอรับ นางเป็นคนช่วยลูกกับไต้เอ๋อร์”
“เจ้าหมายความเช่นไร เหตุใดจึงคิดว่าหวางเฟยช่วยเจ้ากับไต้เอ๋อร์”
หานฉีบอกเรื่องก่อนหน้านี้ที่สาวใช้ของหลินชิงไต้แอบมาพบเพื่อนำสารมาบอกเขาให้กับหานเส้าหลินฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
หานเส้าหลินเข้าใจเรื่องราวกระจ่างในบัดดล “มิน่าก่อนหน้านี้จู่ๆ สุขภาพเจ้าก็ดีขึ้น พ่อยังนึกว่าเจ้าคิดตกแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะพระนางหวางเฟย สมควรไปขอบคุณนางจริงๆ เจ้ารอสักประเดี๋ยว พ่อจะไปเตรียมของขวัญสักเล็กน้อย ให้แม่เจ้าไปพร้อมกับเจ้า”
“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ”
ณ จวนจ้านอ๋อง ภายในเรือนฮ่วนซี
ซ่งหวานหว่านฮัมเพลงเบาๆ สั่งเสี่ยวชิงและเฉาเย่าให้ไปเตรียมวัตถุดิบ จากนั้นนางก็หยิบหม้อต้มสุกี้ทองเหลืองและถ่านออกมาจากแหวนอวกาศ
หม้อไฟเป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด ตั้งแต่มาถึงต่างโลกนี้ นางก็ไม่ได้กินอีกเลย รู้สึกเปรี้ยวปากมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้กิน นางตัดสินใจแล้วว่าจะกินหม้อไฟเนื้อแกะเพื่อให้รางวัลกับกระเพาะตนเองเสียหน่อย
น่าหลันไท่เฟยคีบเนื้อแกะชิ้นหนึ่งที่ซ่งหวานหว่านลวกให้นางสุกแล้วขึ้นมาชิมคำหนึ่ง เนื้อแกะสดนุ่มละลายอยู่ในปาก กอปรกับกลิ่นหอมของน้ำจิ้มงา ทำให้ต่อมรับรสของนางพอใจขึ้นมาในพริบตา พร้อมกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจว่า “หว่านเอ๋อร์ หม้อไฟนี้ช่างอร่อยจริงๆ เจ้าคิดขึ้นมาได้อย่างไร”
“เสด็จแม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง มาเถอะ ท่านทานให้มากหน่อย” ซ่งหวานหว่านขณะพูดก็คีบเนื้อแกะที่ลวกเสร็จแล้วให้น่าหลันไท่เฟยอีกชิ้น
น้ำจิ้มของตัวซ่งหวานหว่านเองคือรสเผ็ด กินจนนางต้องร้องตะโกนว่าเด็ด
“หว่านเอ๋อร์ ไฉนน้ำจิ้มถ้วยนั้นของเจ้าถึงเป็นสีแดง มันอร่อยหรือไม่”
“เสด็จแม่ ถ้วยของข้าใส่น้ำมันพริกลงไปเพคะ มันเลยเป็นสีแดง เผ็ดนิดหน่อย แต่จัดว่าเด็ด อร่อยมาก!”
“เราขอลองชิมสักนิดสิ” ขณะพูดก็คีบเนื้อแกะขึ้นมาหนึ่งชิ้นพร้อมกับจุ่มลงไปในน้ำจิ้มของซ่งหวานหว่านเล็กน้อยแล้วใส่เข้าปากโดยที่ซ่งหวานหว่านห้ามไม่ทัน
“วู้ เผ็ดจัง!” น่าหลันไท่เฟยอ้าปากใช้มือโบกพัดไม่หยุด
ซ่งหวานหว่านจึงรีบหยิบนมกล่องหนึ่งออกมาจากแหวนอวกาศ เจาะหลอดแล้วยื่นให้น่าหลันไท่เฟย “เสด็จแม่ เร็วเข้า เสวยนมสักหน่อยก็จะไม่เผ็ดมากแล้วเพคะ”
น่าหลันไท่เฟยรับนมไปดูดสองอึก รสเผ็ดคลายลงแล้วจริงๆ “หว่านเอ๋อร์ เจ้าทำน้ำจิ้มที่ไม่ค่อยเผ็ดนักให้เราใหม่อีกถ้วยสิ ทานแบบมีรสเผ็ดก็รู้สึกว่าแตกต่างไปจริงๆ”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ใส่น้ำมันพริกหน่อยจะเด็ดมากเพคะ” ซ่งหวานหว่านทำน้ำจิ้มให้น่าหลันไท่เฟยอีกถ้วยโดยใส่น้ำมันพริกไปเล็กน้อย
น่าหลันไท่เฟยชิมไปคำหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “อืม! อร่อยมาก คำว่าเด็ดนี่หมายความว่าอะไร”
“เสด็จแม่ เด็ดหมายความว่ายอดเยี่ยมมากเพคะ”
“อืม นี่มันเด็ดจริงๆ”
“เสด็จแม่ อะไรเด็ดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเจียงอู๋วั่งดังมาจากหน้าประตู
เขายังคงอดแปลกใจไม่ได้ จึงได้แต่มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ คิดจะมาที่นี่เพื่อดูว่าหม้อไฟคือสิ่งใด คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูเรือนฮ่วนซี ก็ได้ยินคำใหม่อีกคำหนึ่งแล้ว ยังคงเป็นคำที่ออกมาจากปากน่าหลันไท่เฟยเช่นเดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...