กลุ่มเจียงอู๋วั่งเริ่มเข้าใกล้ที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ทว่าคนของหอวิญญาณโลหิตกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน
ซ่งหวานหว่านบอกทุกคนให้หยุด พลางสอนวิธีใช้ระเบิดให้กับพวกเขา สองนาทีให้หลัง เจียงอู๋วั่งก็ออกคำสั่ง ให้องครักษ์เงาล้อมที่ทำการใหญ่ไว้ทั้งสี่ด้าน
ซ่งหวานหว่านและเจียงอู๋วั่งยืนอยู่ด้วยกัน รอองครักษ์เงาเตรียมการพร้อมทั้งหมดแล้ว นางก็หยิบระเบิดออกมาลูกหนึ่ง จุดชนวนแล้วยี่นให้เจียงอู๋วั่ง เจียงอู๋วั่งสะบัดมือโยนระเบิดไปทางหอเก๋งของหอวิญญาณโลหิต
เกิดเสียงสนั่นขึ้นดัง ‘ตูม’ จากนั้นเปลวไฟก็ลุกโชติช่วง เศษหินเศษกระเบื้องปลิวว่อน
“เกิดอะไรขึ้น ข้างนอกมีเสียงอะไร” ประมุขหอวิญญาณโลหิตตกใจจนกระโดดผลึงขึ้นมาจากเก้าอี้
“ข้าน้อยจะออกไปดูเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น
ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะเดินออกจากประตูห้อง “ตูมๆๆ...” เสียงระเบิดดังมาจากทุกทิศทุกทาง กลบเสียงกรีดร้องของนักฆ่าวิญญาณโลหิตจนมิด พร้อมกับอาคารที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ประมุขหอวิญญาณโลหิตหมุนกายถลาไปทางหน้าต่าง กลับมีระเบิดลูกหนึ่งลอยเข้ามาหาเขา
“ฮึ! ฝีมืออ่อนด้อยนัก” เขายกมือคิดจะซัดระเบิดให้ร่วงตก แต่พอระเบิดโดนมือของเขามันกลับระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาทันที
ด้วยเหตุนี้ ประมุขหอวิญญาณโลหิตผู้เหี้ยมโหดแห่งยุคก็จบชีวิตลงโดยไม่หลงเหลือแม้แต่กระดูก
ซ่งหวานหว่านคอยจุดชนวนยื่นส่งให้เจียงอู๋วั่งไม่หยุด พร้อมกับพยักหน้าไปพลางพึมพำไปพลาง “ข้าปล่อยให้พวกเจ้ากำเริบเสิบสาน ปล่อยให้พวกเจ้าคิดสังหารข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยให้พวกเจ้ามาสร้างความลำบากให้ข้า ข้าไม่ระเบิดพวกเจ้าให้ตายก็นับว่าข้าแพ้แล้ว หนนี้พวกเจ้าคงรู้แล้วสินะว่าทำไมดอกไม้จึงแดงเช่นนี้”
เจียงอู๋วั่งรับมาก็โยนไปทันที ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังซ่งหวานหว่านพึมพำไปด้วย ทำให้มุมปากอดยกขึ้นมาไม่ได้ ในใจลอบกล่าวว่า ‘ช่างเป็นเสือน้อยที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง อืม ใช่ เสือ แม่เสือ เห็นทีต่อไปแม่เสือตัวนี้คงไม่อาจไปยั่วแหย่ได้ตามใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดแม่เสือไม่พอใจขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตก็ถูกพังราบ เปลวเพลิงพุ่งสูงเสียดฟ้า ภายใต้แสงสว่างของเปลวเพลิงสามารถมองเห็นแขนขาที่ขาดไปทั่วทุกที่ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนและซากศพที่ไหม้เกรียม
เจียงอู๋วั่งและคนอื่นๆ รอจนถึงกลางดึก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้รอดชีวิต หลังไฟดับพวกเขาถึงค่อยจากไป
วันรุ่งขึ้น ทั่วทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในความโกลาหล ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อคืนนี้
ชาวบ้านก. กล่าว “เจ้าได้ยินไหม เสียงทางเหนือเมื่อคืนนี้น่ากลัวจริงๆ”
ชาวบ้านข. “ได้ยินแน่นอน เสียงดังขนาดนั้นจะไม่ได้ยินได้หรือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชาวบ้านค. “ข้ายังตื่นขึ้นมาดูเลย ไฟกองใหญ่นั่นลุกไหม้อยู่ตั้งค่อนคืน เกรงว่าจะมีใครไปยั่วโทสะเทพเจ้าเข้าน่ะสิ”
ชาวบ้านง. “ใช่ๆๆ คนจะสร้างเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะเทพเจ้ากำลังพิโรธแน่!”
“...”
ในวังหลวง บนท้องพระโรงก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องนี้เช่นกัน
“ขุนนางรักทุกท่าน รู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ขุนนางใหญ่ลักษณะเหมือนแม่ทัพคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็ค้อมกายตอบว่า “ฝ่าบาท ตอนฟ้าเพิ่งจะสว่างกระหม่อมรีบไปตรวจดูทันที เป็นที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตถูกทำลายพ่ะย่ะค่ะ ถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพังกองหนึ่ง จากที่กระหม่อมตรวจดูยังไม่พบผู้รอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ ใครกันที่มีความสามารถขนาดนั้น? ทำลายหอวิญญาณโลหิตทั้งหมดลงได้!”
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนในเมืองหลวงต่างพูดกันว่าเทพเจ้ากำลังพิโรธ คนธรรมดาไม่อาจสร้างเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ได้”
“เหลวไหล ช่างเหลวไหวจริงๆ! เจ้าเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยเห็นเทพเจ้าพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมก็ไม่เคยเห็นเสียงอะไรที่สามารถดังไกลถึงสามสิบลี้ได้นอกจากเสียงฟ้าร้องเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ!”
“จริงด้วย! ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ”
“...”
เหล่าขุนนางใหญ่ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในฉับพลัน ทั้งหมดรู้สึกว่าเทพเจ้าควรจะพิโรธแน่แล้ว
ฝ่าบาทกริ้วจนพระพักตร์ขมึงทึง กลับไร้คำจะมาพูดหักล้าง
ทว่าเวลานี้ซ่งหวานหว่านผู้เป็นตัวการสำคัญของเรื่องนี้กลับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หลังจวนกับน่าหลันไท่เฟย
ในศาลาที่ไม่ไกลจากคนทั้งสองนัก มีเงาร่างสีเขียวซีดร่างหนึ่ง กำลังยืนเหม่ออยู่ในศาลา
“เพคะ เสด็จแม่ (พระนางไท่เฟย)” ซ่งหวานหว่านและหลินชิงไต้ตอบพร้อมกัน
ครั้นมาถึงหน้าห้องหนังสือของเจียงอู๋วั่ง กลับไม่พบเขาอยู่ในห้องหนังสือ มีเพียงบ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาดอยู่เท่านั้น
“ท่านอ๋องเล่า” น่าหลันไท่เฟยถามบ่าวรับใช้
“พระนางไท่เฟย ท่านอ๋องเสด็จไปที่โถงข้างพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มคนทั้งสามหมุนกายไปยังโถงข้างอีกครั้ง เห็นเพียงเจียงอู๋วั่งกำลังดื่มชาสนทนากับแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้นเซียวเส้าเฟิงและภรรยาของเขา
ครั้นเห็นน่าหลันไท่เฟยกับซ่งหวานหว่านมา เซียวเส้าเฟิงและภรรยาก็รีบยืนขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง “ถวายพระพรไท่เฟย ถวายพระพรหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามสบาย ทั้งสองท่านโปรดลุกขึ้นเร็วเข้า!” น่าหลันไท่เฟยแบมือยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ขอบพระทัยไท่เฟย ขอบพระทัยหวางเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“พระนางหวางเฟย คราวก่อนโชคดีที่ได้ฝีมือแพทย์อันล้ำเลิศของพระนาง ช่วยชีวิตภรรยาไว้ได้หนึ่งชีวิต วันนี้จึงตั้งใจเตรียมของขวัญมาเพื่อขอบพระทัยพระนางที่ทรงช่วยชีวิต”
“ใช่แล้ว หากไม่ได้พระนางทรงช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ เกรงว่าหญ้าบนหลุมศพของหม่อมฉันคงสูงขึ้นหนึ่งชุ่นแล้ว”
“ไม่ต้องขอบคุณ แค่เรื่องง่ายๆ ราวกับยกฝ่ามือเท่านั้น” ซ่งหวานหว่านยิ้มพลางโบกมือ
“ท่านอ๋อง พระนางไท่เฟยเสด็จมาหาท่านอ๋องคงมีเรื่องจะหารือ เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ แม่ทัพเซียวค่อยๆ เดิน”
“พ่อบ้าน ไปส่งแม่ทัพเซียว”
“ขอรับ นายท่าน”
“แม่ทัพเซียวเชิญด้านนี้ขอรับ” พ่อบ้านส่งเซียวเส้าเฟิงและภรรยาออกจากจวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...