หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 36

กลุ่มเจียงอู๋วั่งเริ่มเข้าใกล้ที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ทว่าคนของหอวิญญาณโลหิตกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน

ซ่งหวานหว่านบอกทุกคนให้หยุด พลางสอนวิธีใช้ระเบิดให้กับพวกเขา สองนาทีให้หลัง เจียงอู๋วั่งก็ออกคำสั่ง ให้องครักษ์เงาล้อมที่ทำการใหญ่ไว้ทั้งสี่ด้าน

ซ่งหวานหว่านและเจียงอู๋วั่งยืนอยู่ด้วยกัน รอองครักษ์เงาเตรียมการพร้อมทั้งหมดแล้ว นางก็หยิบระเบิดออกมาลูกหนึ่ง จุดชนวนแล้วยี่นให้เจียงอู๋วั่ง เจียงอู๋วั่งสะบัดมือโยนระเบิดไปทางหอเก๋งของหอวิญญาณโลหิต

เกิดเสียงสนั่นขึ้นดัง ‘ตูม’ จากนั้นเปลวไฟก็ลุกโชติช่วง เศษหินเศษกระเบื้องปลิวว่อน

“เกิดอะไรขึ้น ข้างนอกมีเสียงอะไร” ประมุขหอวิญญาณโลหิตตกใจจนกระโดดผลึงขึ้นมาจากเก้าอี้

“ข้าน้อยจะออกไปดูเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น

ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะเดินออกจากประตูห้อง “ตูมๆๆ...” เสียงระเบิดดังมาจากทุกทิศทุกทาง กลบเสียงกรีดร้องของนักฆ่าวิญญาณโลหิตจนมิด พร้อมกับอาคารที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ประมุขหอวิญญาณโลหิตหมุนกายถลาไปทางหน้าต่าง กลับมีระเบิดลูกหนึ่งลอยเข้ามาหาเขา

“ฮึ! ฝีมืออ่อนด้อยนัก” เขายกมือคิดจะซัดระเบิดให้ร่วงตก แต่พอระเบิดโดนมือของเขามันกลับระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาทันที

ด้วยเหตุนี้ ประมุขหอวิญญาณโลหิตผู้เหี้ยมโหดแห่งยุคก็จบชีวิตลงโดยไม่หลงเหลือแม้แต่กระดูก

ซ่งหวานหว่านคอยจุดชนวนยื่นส่งให้เจียงอู๋วั่งไม่หยุด พร้อมกับพยักหน้าไปพลางพึมพำไปพลาง “ข้าปล่อยให้พวกเจ้ากำเริบเสิบสาน ปล่อยให้พวกเจ้าคิดสังหารข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยให้พวกเจ้ามาสร้างความลำบากให้ข้า ข้าไม่ระเบิดพวกเจ้าให้ตายก็นับว่าข้าแพ้แล้ว หนนี้พวกเจ้าคงรู้แล้วสินะว่าทำไมดอกไม้จึงแดงเช่นนี้”

เจียงอู๋วั่งรับมาก็โยนไปทันที ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังซ่งหวานหว่านพึมพำไปด้วย ทำให้มุมปากอดยกขึ้นมาไม่ได้ ในใจลอบกล่าวว่า ‘ช่างเป็นเสือน้อยที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง อืม ใช่ เสือ แม่เสือ เห็นทีต่อไปแม่เสือตัวนี้คงไม่อาจไปยั่วแหย่ได้ตามใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดแม่เสือไม่พอใจขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตก็ถูกพังราบ เปลวเพลิงพุ่งสูงเสียดฟ้า ภายใต้แสงสว่างของเปลวเพลิงสามารถมองเห็นแขนขาที่ขาดไปทั่วทุกที่ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนและซากศพที่ไหม้เกรียม

เจียงอู๋วั่งและคนอื่นๆ รอจนถึงกลางดึก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้รอดชีวิต หลังไฟดับพวกเขาถึงค่อยจากไป

วันรุ่งขึ้น ทั่วทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในความโกลาหล ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อคืนนี้

ชาวบ้านก. กล่าว “เจ้าได้ยินไหม เสียงทางเหนือเมื่อคืนนี้น่ากลัวจริงๆ”

ชาวบ้านข. “ได้ยินแน่นอน เสียงดังขนาดนั้นจะไม่ได้ยินได้หรือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ชาวบ้านค. “ข้ายังตื่นขึ้นมาดูเลย ไฟกองใหญ่นั่นลุกไหม้อยู่ตั้งค่อนคืน เกรงว่าจะมีใครไปยั่วโทสะเทพเจ้าเข้าน่ะสิ”

ชาวบ้านง. “ใช่ๆๆ คนจะสร้างเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะเทพเจ้ากำลังพิโรธแน่!”

“...”

ในวังหลวง บนท้องพระโรงก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องนี้เช่นกัน

“ขุนนางรักทุกท่าน รู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

ขุนนางใหญ่ลักษณะเหมือนแม่ทัพคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็ค้อมกายตอบว่า “ฝ่าบาท ตอนฟ้าเพิ่งจะสว่างกระหม่อมรีบไปตรวจดูทันที เป็นที่ทำการใหญ่ของหอวิญญาณโลหิตถูกทำลายพ่ะย่ะค่ะ ถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพังกองหนึ่ง จากที่กระหม่อมตรวจดูยังไม่พบผู้รอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ ใครกันที่มีความสามารถขนาดนั้น? ทำลายหอวิญญาณโลหิตทั้งหมดลงได้!”

“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนในเมืองหลวงต่างพูดกันว่าเทพเจ้ากำลังพิโรธ คนธรรมดาไม่อาจสร้างเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ได้”

“เหลวไหล ช่างเหลวไหวจริงๆ! เจ้าเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยเห็นเทพเจ้าพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมก็ไม่เคยเห็นเสียงอะไรที่สามารถดังไกลถึงสามสิบลี้ได้นอกจากเสียงฟ้าร้องเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นสิ!”

“จริงด้วย! ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ”

“...”

เหล่าขุนนางใหญ่ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในฉับพลัน ทั้งหมดรู้สึกว่าเทพเจ้าควรจะพิโรธแน่แล้ว 

ฝ่าบาทกริ้วจนพระพักตร์ขมึงทึง กลับไร้คำจะมาพูดหักล้าง

ทว่าเวลานี้ซ่งหวานหว่านผู้เป็นตัวการสำคัญของเรื่องนี้กลับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หลังจวนกับน่าหลันไท่เฟย

ในศาลาที่ไม่ไกลจากคนทั้งสองนัก มีเงาร่างสีเขียวซีดร่างหนึ่ง กำลังยืนเหม่ออยู่ในศาลา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต