รษิกาสัมผัสได้ว่าเลอศิลป์กำลังจ้องแผ่นหลังเธออย่างเคร่งเครียด
แม้ว่าเธอจะหันหลังให้เขาอยู่ แต่เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ได้
เนื่องจากเลอศิลป์อยู่ที่บ้านเธอด้วย เธอจึงไม่มีอารมณ์จะทานอะไรอีกต่อไป
“เด็กๆ กินข้าวกันก่อนเลยนะ แม่มีบางอย่างจะต้องไปคุยกับคุณเลอศิลป์” รษิกาพูดอย่างอ่อนโยนหลังจากทานข้าวเข้าไปเร็วๆ หลายคำและวางช้อนส้อมลง
เธอทนไม่ได้ที่เลอศิลป์จ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา และเธอก็อยากจะรู้ว่าเขามาที่บ้านของเธอทำไม
เด็กๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้และพยักหน้ากันอย่างว่าง่าย
เมื่อเห็นว่าเด็กๆ ยอมให้เธอไป รษิกาก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเลอศิลป์ “เราไปคุยกันที่ห้องทำงานเถอะค่ะ”
เลอศิลป์พยักหน้าเรียบๆ และยืนขึ้น ก่อนจะเดินตามเธอไปที่ห้องทำงาน
“คุณเลอศิลป์ ฉันไปทำเรื่องอะไรให้คุณต้องมาหาฉันที่บ้านหรือเปล่าคะ? คุณมีอะไรสำคัญอยากจะบอกฉันไหม?” รษิกายืนอยู่กลางห้องทำงานและมองเขาอย่างระแวง “ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อเสนอตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิคให้มโหสถกรุ๊ปอีกล่ะก็ ฉันเกรงว่าคุณคงจะต้องผิดหวังเพราะฉันคิดมาดีแล้วว่าคงรับข้อเสนอนั้นไม่ได้”
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอคิดอยู่ในใจ ณ ตอนนั้น
เมื่อเห็นว่ารษิกาดูหวาดระแวงเขามาก สายตาของเลอศิลป์ก็ยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
บรรยากาศในห้องทำงานกลับกลายเป็นเคร่งขรึมไปด้วยเช่นกัน
รษิกาจ้องมองเลอศิลป์ เธอกลัวว่าเขาจะจู่โจมเธออย่างไม่ทันตั้งตัวอีกเหมือนเมื่อคืนก่อนนั้น
หลังจากผ่านไปนาน เลอศิลป์ก็ยังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น เขากวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับต้องการจะอ่านใจเธอ
ความระแวงที่รษิกามีต่อเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความสับสน
หรือว่าเลอศิลป์จะเป็นคนวางแผนเรื่องไฟไหม้ทั้งหมดนั่น?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หย่าร้างแล้วห่างไป แต่หัวใจยังคงเดิม