ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า นิยาย บท 102

ข่าวมาเร็วเกินไปเหมือนพายุ

ปี้ซงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเขาตื่นขึ้นมาพร้อมขอบตาดำคล้ำ

เฉียวเหลียนเหลียนปรุงบะหมี่จานโปรดของเด็กอ้วน เธอใส่หมูสับและกุ้งลงไปด้วย เมื่อเห็นว่ามีคนเพิ่มขึ้น เธอจึงทำเส้นเพิ่ม

ท้ายที่สุดก็ยังไม่พอกิน

ปี้ซงกินบะหมี่หมดเกลี้ยงพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เฉียวเหลียนเหลียน “อร่อยมาก อร่อยสมกับฝีมือของคุณนาย นอกจากขาแกะพะโล้ที่ทำให้ประหลาดใจแล้ว วันนี้ผมได้กินบะหมี่ของคุณนาย ผมพบว่าไม่ใช่แค่ขาแกะพะโล้เท่านั้นที่อร่อย แต่ทุกอย่างคุณนายทำนั้นอร่อยมาก คุณนายฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยมมากเลย”

ว่ากันว่ามีคนนับพันที่เยินยอ

แม้ว่าเขากินบะหมี่ไปถึงสี่ชาม จนเกือบทำให้คนอื่นไม่พอกิน แต่เฉียวเหลียนเหลียนก็อายที่จะดุเขา

“ถ้ากินไม่อิ่มก็กินขนมได้นะ” เธอเดินไปที่ครัวแล้วหยิบขนม และลูกชิ้นทอดมา

ขนมคลุกน้ำตาลทอดมีรสหวาน วิธีการทำคือนำแป้งมาต้มน้ำร้อน จนแป้งสุกแล้วนำน้ำตาลมาห่อ แล้วนำไปทอดในกระทะจนเป็นสีทอง หากรับประทานเลยต้องระวังเพราะน้ำตาลข้างในกลายเป็นน้ำเชื่อมซึ่งร้อนมาก

ส่วนลูกชิ้นทอดนั้นมีรสเค็ม ใช้หัวไชเท้าใส่เมล็ดข้าวหุงสุกทำเป็นเส้นที่หนาขึ้น ดูเหมือนเหนียวแต่ไม่เหนียว ใช้ช้อนตักเป็นลูกเล็กแล้วโยนลงหม้อทอด พอทอดได้สีทองก็เอาตัดขึ้นมาได้

สองสิ่งนี้เป็นของขึ้นชื่อช่วงตรุษจีนของเมืองเซี่ยหยาง เมื่อวานเฉียวเหลียนเหลียนเห็นที่ตลาด และซื้อเพิ่ม

คนส่วนใหญ่ซื้อกลับบ้านเพื่อกินเป็นอาหารเย็น แต่จะไม่ค่อยอร่อย

แต่เฉียวเหลียนเหลียนมีวิธีอุ่นเพื่อให้ร้อนและความกรอบ อีกทั้งรสชาติเกือบจะเหมือนกับเพิ่งออกจากกระทะ

ทันทีที่ขนมถูกวางบนโต๊ะ เด็กๆต่างให้ความสนใจ

แม้แต่กู้เฉิงที่ชอบกินมังสวิรัติก็กินไปสองชิ้น

ปี้ซงเหลือบมองเขาหลายครั้งและพึมพำในใจว่า "พระราชนัดดาชอบกินขนมหวานที่สุด และหลายๆคนต่างชอบที่จะถวายขนมหวานเพื่อเอาใจพระราชนัดดา"

แต่ตอนนี้กู้เฉิงกินขนมเพียงสองก้อนและหยุดกิน

แม้ขนมจะมีขนาดเล็กเพียงครึ่งฝ่ามือ และไม่เป็นปัญหาสำหรับเด็กที่จะกินห้าหรือหกชิ้น

หากเป็นตอนที่อยู่แถวตลาดแผงลอย กู้โหลวกินสองชิ้นยังไม่พอ

แต่กู้เฉิงไม่ได้สนใจมากนัก บางทีเขากินไปสองชิ้นนั้นเพราะเห็นแก่แม่เลี้ยง

ปี้ซงบ่นในใจ

เมื่อคืนนายท่านพูดเพียงครึ่งหนึ่ง ทำให้ปี้ซงงง เขาอยากจะถามสองประโยค แต่นายท่านของเขาก็หลับไปแล้ว

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังงงงวย

กู้เฉิงวางชามและตะเกียบลง และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่ครับ ผมอิ่มแล้ว ผมจะไปอ่านหนังสือ”

“ได้” เฉียวเหลียนเหลียนพยักหน้า และไม่ลืมบอกลูกชายคนโต “อย่าอ่านหนังสือจนลืมพักผ่อนหล่ะ”

กู้เฉิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เป็นเพราะเฉียวเหลียนเหลียนเขาจึงมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน

ปี้ซงมองอย่างสงสัย และถามว่า "คุณนาย พระ... กู้เฉิงมีความสามารถในการสอบซิ่วไฉ"

“ซิ่วไฉ?” เฉียวเหลียนเหลียนนึกถึงการแบ่งระดับการศึกษา และส่ายหัว “เสี่ยวเฉิงยังสอบไม่ผ่านระดับต้นเลย ปีใหม่ฉันถึงส่งเขาไปสอบ”

การสอบระดับต้นเป็นเพียงหนทางไปสู่ซิ่วไฉ

หลังจากผ่านการสอบระดับต้นแล้ว สามารถเข้ารับการสอบซิ่วไฉได้ และหลังจากผ่านการสอบซิ่วไฉแล้ว ก็สามารถเป็นจิ้นชื่อหรือบัณฑิตชั้นสูงได้

หลังตรุษจีนกู้เฉิงอายุครบสิบขวบ แต่เขาไม่มีโอกาสใช้ชีวิตวัยเด็กเหมือนเด็กคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระราชนัดดาอายุได้เจ็ดขวบ เขาเขียนบทกลอนได้หนึ่งบท ลายมือของเขาก็เป็นอิสระและง่ายดาย และแม้แต่จิ้นชื่ออาวุโสก็ยังรู้สึกทึ่งกับบทความที่เขาเขียน

องค์รัชทายาทรักเขามาก จนจักรพรรดิโปรดปรานในพระราชนัดดาองค์นี้

เด็กที่ถูกเอาอกเอาใจเช่นนี้ไม่ได้หยิ่งทะนงและหยิ่ง แต่มีความมั่นใจในตนเองอยู่เสมอ

เมื่อมองไปที่กู้เฉิงอีกครั้ง เขากลับเงียบและสงบ หลังเขาตรง เขาไม่สามารถพูดได้สามคำต่อวัน วันๆหนึ่งเขาพูดไม่เกินสามประโยค และเขามักจะพูดถึงหนังสือเรียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า