บทที่ 11 งานเลี้ยงตระกูลตู๋กู
จวนตระกูลตู๋กูตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของนครหลวง
ทางตะวันออกของนครหลวงเป็นดินแดนเจริญรุ่งเรือง จ้าวอู่เจียงเดินออกมาจากพระราชวัง ใบหน้าไร้ซึ่งความโกรธแค้นหรือความเศร้าสลด ทว่าแฝงแววประหลาดใจและขุ่นมัวเล็กน้อย
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ พลิกป้ายจากตระกูลหลิวกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับความคิดที่ดำเนินไปข้างหน้าไม่มีสิ้นสุด
จ้าวอู่เจียงโดยสารรถม้าแล่นไปตามถนน มุ่งหน้าไปทางตัวเมืองทิศตะวันออกอย่างราบรื่น
ครึ่งชั่วยามต่อมา ม่านของรถม้าถูกเปิดขึ้น เสียงของสารถีพูดด้วยความเคารพว่า
“ถึงแล้วขอรับ ขันทีจ้าว”
“อืม”
จ้าวอู่เจียงเดินลงจากห้องโดยสารรถม้า ยัดเบี้ยทองคำหนึ่งเม็ดใส่มือของคนขับ
“ขอบคุณขันทีจ้าวมากขอรับ ขอบคุณมากขอรับ” คนขับรถม้ากล่าวขอบคุณไม่หยุดแล้วรับทองคำไปด้วยความตื่นเต้น
จ้าวอู่เจียงพยักหน้า ยิ้มให้อย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ประตูหน้าของจวนตระกูลตู๋กูทาด้วยสีทอง กำแพงดำ กระเบื้องเขียว บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นผู้มาเยือน พวกเขาก็สามารถระบุตัวตนแขกได้จากเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ทันที จึงรีบประสานมือเดินเข้ามาทำความเคารพ
“ขันทีจ้าว เชิญด้านในเลยขอรับ”
จ้าวอู่เจียงเดินไปตามทางแผ่นหินด้วยการนำของบ่าวรับใช้สองคน ขันทีหนุ่มเดินผ่านบ่อน้ำภายในจวน และต้องเดินผ่านสวนหย่อมอีกสามแห่ง จึงไปถึงเรือนหลังหนึ่งในที่สุด
ภายในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลังนั้นมีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังออกมา จ้าวอู่เจียงไม่รอช้าเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
โต๊ะไม้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผลไม้และเครื่องดื่มนานาชนิดถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ บรรดาขุนนางระดับสูงจำนวนมากนั่งอยู่ภายในห้องโถงแห่งนี้ พวกเขากำลังนั่งพูดคุยกัน บ้างก็กำลังดื่มสุรา บ้างกำลังมีความสุขกับการลูบไล้เรือนร่างสตรีข้างกาย นี่คือบรรยากาศแห่งงานเลี้ยงที่แขกผู้ร่วมงานมีแต่ความสนุกสนานเริงรมย์
ชุดเครื่องแบบขันทีของจ้าวอู่เจียงโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แขกหลายคนขมวดคิ้วนิ่วหน้า แสดงความไม่พอใจออกมาในทันใด
“ขันทีน้อยต่ำช้ากล้าบุกเข้ามาในจวนตระกูลตู๋กู ไม่ทราบว่าเจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เยวียนหว่ายหลาง หนึ่งในสมาชิกของหกกรมใหญ่ที่กำลังเมามายถึงกับยกมือชี้หน้าจ้าวอู่เจียง
จ้าวอู่เจียงหันกลับไปมองขุนนางผู้นั้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
“ขันทีจ้าวมาถึงแล้วหรือ เราผู้เฒ่ารอคอยท่านมานานแล้ว”
ในเวลาเดียวกันนี้ เสียงหัวเราะอันอบอุ่นก็ดังขึ้น จ้าวอู่เจียงพบชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มขุนนางใหญ่ และตรงเข้ามาหาตน
ตู๋กูอี้เหอมีหนวดเคราและเส้นผมกลายเป็นสีขาวไปครึ่งหนึ่ง เวลาก้าวเดินมีสง่าราศีไม่ต่างจากพยัคฆ์เคลื่อนไหว คิ้วยาวไปถึงข้างขมับ เขาหันไปชำเลืองมองเยวียนหว่ายหลางที่หัวเราะเยาะเย้ยขันทีน้อยเมื่อสักครู่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เยวียนหว่ายหลางเมามากแล้ว นำตัวเขากลับไปเถอะ!”
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ตระกูลตู๋กูสองคนแต่งชุดรัดกุม สายตาเย็นชา รีบก้าวเดินออกมาข้างหน้า และนำตัวเยวียนหว่ายหลางออกไปจากห้องโถงใหญ่ทันที
“คนผู้นี้เป็นคนหยาบคาย ปกติมักล่วงเกินผู้คนอยู่เสมอ สหายน้อยอย่าได้ถือสา”
ตู๋กูอี้เหอโอบแขนรอบไหล่ของจ้าวอู่เจียง ที่เมื่อสักครู่เขาไม่ได้ห้ามปรามการดูถูกของเยวียนหว่ายหลาง เพราะอยากจะดูว่าขันทีน้อยผู้มีนามว่าจ้าวอู่เจียงจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ แม้จะถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามซึ่งหน้า แต่ขันทีน้อยกลับไม่ได้แสดงอาการโกรธแค้น หรือตอบโต้เลยแม้สักคำเดียว ทำให้จ้าวอู่เจียงดูสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
“เราผู้เฒ่าขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก บุรุษหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ข้างเราในขณะนี้ เขามีนามว่าจ้าวอู่เจียงหรือขันทีจ้าวนั่นเอง”
ตู๋กูอี้เหอนำทางจ้าวอู่เจียงไปนั่งบนเก้าอี้แถวสอง ซึ่งอยู่ใกล้กับเก้าอี้ของเขามากที่สุด
ได้ยินเสียงการทักทายดังขึ้นทั่วห้องโถงใหญ่โดยทันที
“ขันทีจ้าว ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมาหลายวันแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสได้พบตัวจริง นับเป็นคนมีพรสวรรค์สมคำเล่าลืออย่างแท้จริง”
“ขันทีจ้าว ข้าทำงานอยู่ในกรมการคลัง เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน”
ไม่มีขุนนางผู้ใดเป็นคนโง่เขลา เมื่อเห็นว่าเยวียนหว่ายหลางพูดเหยียดหยามจ้าวอู่เจียงก็ถูกลากตัวออกไป และบัดนี้ ตู๋กูอี้เหอผู้เป็นขุนนางใหญ่ก็ยังแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักจ้าวอู่เจียงด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเหลือเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า