บทที่ 146 ขอฟังเสียงทารก
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติในยามเช้า
จ้าวอู่เจียงกำลังฝึกขั้นสี่ของคัมภีร์ทองคำไร้พ่ายอยู่ในตำหนักหย่างซิน
เขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องรีบพัฒนาความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ์ จากการวิเคราะห์และประเมินตนเองแล้ว จ้าวอู่เจียงรู้ดีว่าตนคงมีพลังอยู่ในขอบเขตผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้า ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมสำหรับการต่อสู้ในระดับพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนการจพบรรลุขั้นสี่ของคัมภีร์ทองคำไร้พ่ายได้ก็มีเพียงหนทางเดียวคือ การฝึกฝน!
ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความชำนาญมากเท่านั้น แล้วร่างกายก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับมวลพลังที่เพิ่มขึ้นได้ไปโดยปริยาย
แต่ไม่รู้ทำไม จ้าวอู่เจียงรู้สึกว่าวิชาทองคำไร้พ่ายควรฝึกฝนร่วมกับวิชาปราณไร้วิญญาณ เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที ในอดีตนั้น เหตุผลที่ไต้ซือนักปัดกวาดกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ก็เป็นเพราะเขาหลอมรวมวิชาเหล่านี้เข้าด้วยกันไม่ใช่หรือ?
แล้วก็ยังมีวิชามหาเทพดูดดาวอะไรนั่นอีก หลวงจีนปริศนาผู้นั้นฝึกฝนทั้งสามวิชาควบคู่ไปด้วยกัน วิชาหนึ่งช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง อีกวิชาช่วยทำให้พลังลมปราณไร้เทียมทาน และวิชาสุดท้ายก็ทำให้เขาสามารถดูดซับพลังลมปราณจากผู้อื่นมาได้ แล้วจะไม่ให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าได้อย่างไร?
จ้าวอู่เจียงเคยขอให้เจี๋ยเอ้อร์ซานช่วยสอนวรยุธ์ให้กับเขาหลายวิชาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาวิชาเฒ่าทะยาน วิชาพยัคฆ์ควักหัวใจ วิชาเทพยดาประทับดอกบัว วิชาวานรขโมยลูกท้อ วิชาพฤกษาหยั่งราก วิชาหอกทองคำอมตะ วิชานกกระเรียนขาวสยายปีก วิชานกกระจอกเฝ้ารัง วิชาฝ่ามืออสรพิษ และอื่น ๆ อีกมากมาย
แม้ว่าวิชาเหล่านี้จะไม่ใช่วิทยายุทธ์ระดับสูง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จ้าวอู่เจียงยกระดับฝีมือของตนเองได้ และหากเขายิ่งฝึกฝนวิชาเหล่านี้มากเท่าไหร่ การบรรลุขอบเขตขั้นที่สี่ในคัมภีร์ทองคำไร้พ่ายก็ยิ่งเข้าใกล้ความจริงมากเท่านั้น
เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ จ้าวอู่เจียงก็เสร็จสิ้นการฝึกฝน หลังจากเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เขาก็เคาะมือส่งสัญญาณเรียกเจี๋ยเอ้อร์ซาน ให้ชายชราผมขาวนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งที่หอคัมภีร์หลวง
ตัวอักษรในจดหมายเป็นตัวอักษรประหลาดจำนวนหนึ่งที่คัดลอกมาจากสมุดบัญชีซึ่งพบในจวนที่พักของเสนาบดีกรมคลัง
จ้าวอู่เจียงต้องการจะตรวจสอบว่าตัวอักษรเหล่านี้เป็นภาษาของชนชาติใด เพื่อที่จะได้นำมาแปลความหมายในสมุดบัญชีของเสนาบดีกรมคลังต่อไป
…
เมื่อออกมาจากตำหนักหย่างซิน
จ้าวอู่เจียงก็เดินตรวจตราตำหนักของเหล่านางสนม เขามุ่งหน้าตรงไปยังตำหนักฉีเฟิงก่อนเป็นลำดับแรก
และเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักฉีเฟิง เรือนร่างที่งดงามก็วิ่งเข้ามา ร่างนั้นย่อมต้องเป็น ชิงเอ๋อร์
หลังจากชิงเอ๋อร์กับจ้าวอู่เจียงได้เคยร่วมรักกัน นางกำนัลผู้นี้ก็มีความงดงามเปล่งปลั่งมากขึ้น เหมือนกับความงดงามของนางได้บานสะพรั่งเต็มที่
ขณะนี้ ใบหน้างดงามไร้ที่ติกำลังวิ่งเข้ามาหาจ้าวอู่เจียงด้วยความดีใจระคนเขินอาย ทำให้นางดูมีเสน่ห์อย่างมาก
จ้าวอู่เจียงเอื้อมมือออกไปโอบเอวนาง แต่ชิงเอ๋อร์ก็รีบหมุนตัวหนี
“ฮองเฮามีอาการเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายหนุ่มถามขึ้น
“ฮองเฮามีอาการดีขึ้นมากแล้ว เช้าเมื่อวานนี้ฮ่องเต้ถึงกับเสด็จมาที่นี่ แม้พระองค์จะอยู่ไม่นานก็ตาม…” ชิงเอ๋อร์ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“ฮ่องเต้พูดคุยอันใดกับฮองเฮาบ้าง?” จ้าวอู่เจียงมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ชิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถาม
“พระองค์ก็ทรงถามถึงอาการทั่วไปของฮองเฮา แล้วก็รับสั่งให้ฮองเฮาออกไปเดินเล่นบ่อย ๆ อย่าเก็บตัวอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักเช่นนี้ หากฮองเฮาต้องการสิ่งใด ก็ให้คนไปแจ้งพระองค์ได้ตลอดเวลา…”
“ไม่มีอย่างอื่นอีกหรือ?” จ้าวอู่เจียงสอบถาม
“นั่นมันก็… ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่าน… อุ๊ย!” ชิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย นางพูดได้เพียงครึ่งประโยค จ้าวอู่เจียงก็ดึงนางเข้าไปหา แล้วประทับริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว
ชิงเอ๋อร์หน้าแดงซ่าน ทั้งมีความสุข และโมโหในเวลาเดียวกัน
“ท่านทำอะไรของท่าน ไม่กลัวผู้อื่นเห็นบ้างเลยหรือ?”
“รีบบอกมาเร็ว ๆ สิ” จ้าวอู่เจียงเร่งเร้า พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ฮ่องเต้ถึงกับลูบพระครรภ์ของฮองเฮาด้วย” ชิงเอ๋อร์ทำปากยื่น ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของขันทีหนุ่มไม่วาง นางรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเต้นเร็วมากกว่าปกติ
“หา?”
“ใช่แล้ว ฮ่องเต้ใช้มือลูบครรภ์ของฮองเฮา และส่งเสียงหัวเราะออกมา” ดวงตากลมโตของชิงเอ๋อร์ทอประกายแวววาว พลางนางก็เอียงศีรษะเล็กน้อย
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้มีความสุขเลย ฮ่องเต้ดูจะมีความ… สับสน… ใช่แล้ว พระองค์ดูสับสนอยู่ไม่ใช่น้อย คล้ายกับว่าพระองค์กำลังคิดถึงสิ่งอื่น แต่ข้าก็เห็นเพียงเท่านี้แหละ หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็เสด็จกลับไป…”
จ้าวอู่เจียงยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ดูเหมือนว่าเซวียนหยวนจิ้งจะยอมรับแนวคิดที่จะไว้ชีวิตทารกในครรภ์ของตู๋กูหมิงเยว่บ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงเป็นกังวลถึงความมั่นคงในราชบัลลังก์ของตนเอง
เซวียนหยวนจิ้งมีอาการลังเล แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ นางก็มีความเย็นชาน้อยลงมากแล้ว นางกำลังความสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับตู๋กูหมิงเยว่กับจ้าวอู่เจียงอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเราไปเข้าเฝ้าฮองเฮากันเถอะ” จ้าวอู่เจียงกล่าว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า