บทที่ 155 ร่วมงานเลี้ยง
ตำหนักเจาอี๋ ห้องอาบน้ำ
ท่ามกลางแสงสลัวของเทียนไข นกยวนยางเล่นน้ำ*[1] พายุใหญ่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เกลียวคลื่นกระทบชายฝั่งอย่างรุนแรง
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวกว่าที่ทุกอย่างจะสงบลงอีกครั้ง หลิวเหม่ยเอ๋อร์กับหลิวชิงชิงนอนแผ่หราอยู่ข้างอ่างไม้ ใบหน้าของพวกนางเป็นสีแดงระเรื่อ เรือนร่างอันงดงามเต็มไปด้วยหยดน้ำค้างสีขาวขุ่น
จ้าวอู่เจียงก้าวเดินขึ้นมาจากอ่างไม้ นำผ้ามาเช็ดตัวตนเอง เตรียมตัวสวมใส่เสื้อผ้า
ฮ่องเต้หญิงรีบหันหน้ามองไปทางอื่น จิตใจของนางยังคงมีแต่ภาพการโรมรันอันดุเดือดก่อนหน้านี้ เมื่อนึกถึงความดุร้ายของหัวมังกรที่ผงาดชูชัน เซวียนหยวนจิ้งก็ได้แต่แอบถอนหายใจเท่านั้น
ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เดินตรงเข้ามาหาฮ่องเต้หญิงพร้อมกับหยอกเย้าเสียงกลั้วหัวเราะ
“ฝ่าบาทเห็นทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่? หากไม่ใช่ พวกเรากลับไปลองทบทวนกันดูก็ได้”
ฮ่องเต้หญิงมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ ในทันใดนั้น
“เจ้าชักจะเหิมเกริมมากไปแล้ว!”
“กระหม่อมเพียงต้องการบอกว่าหากฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวอู่เจียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพากันเดินกลับสู่ตำหนักหย่างซิน
“เฮอะ!” ฮ่องเต้หญิงอดนึกถึงภาพเอวอ่อนหวานเหมือนไร้กระดูกของหลิวเหม่ยเอ๋อร์ยามอยู่บนร่างของจ้าวอู่เจียงขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าของนางพลันเต็มไปด้วยความอับอายพอ ๆ กับความรำคาญใจ
“ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”
จ้าวอู่เจียงหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางกล่าวอย่างสบายใจ
“พวกเราจะมาโต้เถียงเรื่องนี้กันก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ บางทีกระหม่อมอาจจะเป็นฝ่ายผิดเอง ว่าแต่ฝ่าบาทอยากลองสักครั้งหรือไม่?”
ฮ่องเต้หญิงไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างจ้าวอู่เจียง นางก็ทำได้แต่เพียงตอบรับด้วยความเงียบเท่านั้น
…
รุ่งเช้าวันต่อมา
จ้าวอู่เจียงลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อฝึกวรยุทธ์ เขารู้สึกได้ถึงชีพจรและพลังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้อย่างชัดเจน
เมื่ออบอุ่นร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มต้นทำการดูดซับพลังลมปราณจากเหล่าองครักษ์มังกรที่ตกค้างอยู่ในร่างกายต่อจากเมื่อวานนี้ ยิ่งดูดซับพลัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น จ้าวอู่เจียงมั่นใจว่าเขาสามารถล้มวัวได้ในหมัดเดียว
และเช้าวันนี้ เจี๋ยเอ้อร์ซานก็ได้นำจดหมายที่เป็นคำแปลของตัวอักษรประหลาดกลับมาจากหอคัมภีร์หลวง ปรากฏว่าพวกมันน่าจะเป็นภาษาของแคว้นหนานเจียงทางตอนใต้ แต่ด้วยเหตุผลพิเศษบางประการ จ้าวอู่เจียงจำเป็นต้องหาความหมายของตัวเลขจำนวนมากในสมุดบัญชีเล่มนั้น
แคว้นต้าเซี่ยไม่เคยทำการเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตกับแคว้นหนานเจียงมาก่อน บทบันทึกทางเอกสารจึงแทบไม่มี และกลุ่มคนที่เข้าใจในภาษาของชาวหนานเจียงก็มีน้อยมากเช่นกัน
ถ้าเป็นพวกทหารที่ไปประจำการอยู่เขตชายแดนใต้ติดกับฝั่งหนานเจียง ก็คงพอจะมีผู้ที่รู้ภาษาเหล่านี้บ้าง แต่ชายแดนใต้อยู่ห่างไกลจากนครหลวงมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่หอคัมภีร์หลวงจะเชิญพวกเขามาเพื่ออ่านข้อความปริศนาเหล่านี้ ดังนั้น คนของหอคัมภีร์หลวงจึงทำได้เพียงเปรียบเทียบตัวอักษรผ่านคัมภีร์โบราณเท่านั้น
จ้าวอู่เจียงรับฟังจบก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ตราบใดที่เขารู้ว่ามันเป็นภาษาอะไร แค่นี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า