บทที่ 158 กลยุทธ์ที่สาม
ตู๋กูอี้เหอยกจอกสุราขึ้นสูงส่งสัญญาณให้แก่ทุกคน
“ข้ายินดีบริจาคหนึ่งแสนตำลึงให้แก่ท้องพระคลัง!”
เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกไป กลุ่มขุนนางในงานเลี้ยงก็ต้องร้องอุทานด้วยความตกตะลึง แค่ให้บริจาคหนึ่งหมื่นตำลึง พวกเขาก็แทบรากเลือดแล้ว สมแล้วที่ตู๋กูอี้เหอเป็นประมุขตระกูลตู๋กู เพียงเข้าร่วมการบริจาคครั้งแรก เขาก็บริจาคเป็นเงินถึงหนึ่งแสนตำลึง
ในเวลาเดียวกันนี้ พวกเขาก็ยังตกตะลึงที่ประมุขตระกูลตู๋กูทำการสนับสนุนจ้าวอู่เจียงอย่างออกหน้าออกตา
ตู๋กูอี้เหอเป็นบุคคลที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ผู้ใดง่าย ๆ แล้วจ้าวอู่เจียงสามารถเกลี้ยกล่อมตู๋กูอี้เหอได้อย่างไร?
ตู๋กูอี้เหอมีสีหน้าแววตาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย
“เทียนชิงบุตรชายของข้าต้องเดินทางไปปกป้องเขตชายแดนเหนือ เขากำลังช่วยปกป้องประชาชนและบ้านเมือง หากท้องพระคลังว่างเปล่า แล้วกองทัพจะอยู่อย่างไร? พวกเขาจะมีอาหารกินหรือไม่? หรือพวกเราจะปล่อยให้กองทัพตกอยู่ในสภาพขาดแคลนยากไร้? เพราะฉะนั้น การบริจาคเงินเข้าท้องพระคลังในครั้งนี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากขุนนางทุกท่าน!”
หลิวเจ๋อก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
“ข้าขอบริจาคอีกหนึ่งแสนตำลึง! หวังว่าพวกท่านคงไม่ทำให้ขุนนางเฒ่าอย่างข้าหรือฮ่องเต้ต้องผิดหวัง…”
กลุ่มขุนนางมีท่าทางตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งตู๋กูอี้เหอกับหลิวเจ๋อต่างก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เหมือนกับว่าถ้าวันนี้พวกเขาไม่ร่วมบริจาค ก็คงไม่มีชีวิตรอดกลับออกไปจากงานเลี้ยงอย่างแน่นอน
ดังนั้น บรรดาขุนนางที่ยังไม่ได้บริจาคก่อนหน้านี้ก็รีบเสนอตัวบริจาคตาม ๆ กัน เสนาบดีกรมพิธีการบันทึกจำนวนเงินบริจาคต่อไปและก็มีคนจากกรมคลังช่วยบันทึกด้วยอีกแรง
ขุนนางทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าวันนี้มีเพียงตู๋กูอี้เหอกับหลิวเจ๋อที่บริจาค พวกเขาย่อมไม่ร่วมบริจาคแน่นอน เพราะสามารถยกข้ออ้างอย่างเช่น ตระกูลหลิวเป็นตระกูลขุนนางที่รับใช้ราชสำนักมาอย่างยาวนาน หรือตระกูลตู๋กูเป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวยทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจ ขุนนางตัวเล็ก ๆ จะเอาอะไรไปเทียบได้
แต่ประเด็นสำคัญก็คือนี่เป็นการเรี่ยไรที่จ้าวอู่เจียงเป็นคนเสนอความคิด และชายหนุ่มก็มีสมุดบัญชีลึกลับอยู่ในมือที่สามารถข่มขู่ขุนนางบางส่วนได้อย่างน่ากลัว
นอกจากนี้ จ้าวอู่เจียงยังนำตำแหน่งเสนาบดีสองกรมใหญ่มาหลอกล่อพวกเขาอีกด้วย และเมื่อหลิวเจ๋อกับตู๋กูอี้เหอออกหน้าร่วมบริจาค บรรดาขุนนางที่ยังไม่ได้บริจาคก่อนหน้านี้ จะนิ่งเฉยได้อย่างไร?
สายตาที่จ้องมองจ้าวอู่เจียงทวีความเคร่งขรึมมากขึ้น เดิมทีก็ตกตะลึงในเส้นสายทางอำนาจของจ้าวอู่เจียงก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเมื่อได้ร่วมงานเลี้ยงในวันนี้
พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันนี้อย่างแน่นอน
และการที่หลิวเจ๋อช่วยออกหน้าให้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มิฉะนั้นแล้ว หลิวเจ๋อจะต้องมาออกหน้าให้แก่ขุนนางต่ำต้อยอย่างจ้าวอู่เจียงเพื่ออะไร?
บัดนี้ จ้าวอู่เจียงได้รับการหนุนหลังจากตระกูลใหญ่สองตระกูล ทั้งตระกูลตู๋กูและตระกูลหลิว บุคคลธรรมดาไหนเลยจะกล้าระรานคนผู้นี้
ฉากตรงหน้า ทำให้หลิวเจ๋อยิ่งเกิดความชื่นชมจ้าวอู่เจียงมากขึ้น เขาได้รับทราบข่าวจากวังหลวงว่าเมื่อคืนนี้หลานสาวของตนเองทั้งสองคนได้ทำการรับใช้ฝ่าบาทจริง ๆ สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าจ้าวอู่เจียงมีความสามารถโน้มน้าวใจฝ่าบาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ และฝ่าบาทก็ดูจะโปรดปรานจ้าวอู่เจียงไม่น้อยเลยทีเดียว
เดิมที งานเลี้ยงในวันนี้หลิวเจ๋อตั้งใจจะยื่นมือช่วยเหลือจ้าวอู่เจียงเมื่ออีกฝ่ายเดินทางกลับไปแล้ว เขาตั้งใจจะบริจาคลับหลังเป็นเงินก้อนใหญ่ในกรณีที่บรรดาขุนนางไม่ยอมให้ความร่วมมือ
แต่ชายชราคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวอู่เจียงจะมีกลยุทธ์อันหลากหลายในการกระชากเงินออกมาจากกระเป๋าของเหล่าขุนนางทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้มีความเข้าใจต่อสถานการณ์การเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ขันทีหนุ่มที่ไม่รู้จักเล่ห์เหลี่ยม แต่มีความร้ายกาจไม่ต่างจากขุนนางที่รับราชการมาหลายปี
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจ้าวอู่เจียงทำให้หลิวเจ๋อต้องลอบถอนหายใจ เพราะชายชราเหมือนจะเห็นตนเองในตัวของจ้าวอู่เจียงเมื่อสมัยยังหนุ่ม เขาก็มีความเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเช่นนี้ไม่ต่างกัน
ตู๋กูอี้เหอเทสุราใส่จอกให้จ้าวอู่เจียงก่อนจะกล่าวว่า
“หลานชายของข้ามีความสามารถยิ่งนัก แต่โชคร้ายที่เขาเกิดผิดยุคสมัยไปหน่อย… ต้าเซี่ยในยามนี้… เฮ้อ…”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า