บทที่ 16 แคว้นต้าเซี่ยปฏิเสธ
“ขันทีจ้าว นี่เจ้า!”
“ทำไมหรือ?”
จ้าวอู่เจียงไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ และกล่าวต่อไป
“บัดนี้ แคว้นไป๋เยว่แค่ส่งคณะทูตมายื่นเงื่อนไขการอภิเษกสมรสด้วยข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรม นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น หากเราตอบตกลง ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามจะมองว่าเราอ่อนแอ แล้วพวกเขาจะรวมหัวกันกัดกินแคว้นต้าเซี่ยของเราทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะทำอย่างไร?”
“ข้า…” เสนาบดีแห่งกรมพิธีการไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ในทางกลับกัน เหตุการณ์ความไม่สงบที่ปะทุขึ้นมาทั้งเหนือและใต้ ฝ่าบาททรงสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา แล้วฝ่าบาทจะไม่ทราบถึงปัจจัยเสี่ยงในเรื่องนี้ได้อย่างไร?” จ้าวอู่เจียงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่มีนายทหารคนใดเลยคิดถอยทัพ แต่บรรดาขุนนางที่คอยออกคำสั่งจากนครหลวงกลับเป็นผู้คิดจะถอยทัพเองเสียแล้วหรือ?”
“คือว่า…” เสนาบดีแห่งกรมพิธีการหลี่เฉินซวีพูดอะไรไม่ออก ดวงตาแดงก่ำ รู้สึกแน่นหน้าอก แขนขาอ่อนแรง
จ้าวอู่เจียงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปจับแขนของชายวัยกลางคนเอาไว้
“สิ่งที่ใต้เท้าหลี่กำลังเป็นกังวล พวกเราเองก็ย่อมรู้ดี แต่ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคลื่นลมที่รุนแรงเพียงใด แคว้นต้าเซี่ยของพวกเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้หลายพันปีแล้ว บรรพชนของเรายอมเสียเลือดเสียเนื้อสละชีวิตปกป้องดินแดนแห่งนี้เอาไว้จนตัวตาย ทุกครั้งที่ท่านคิดจะยอมแพ้หรือถอยทัพ ได้โปรดนึกถึงกองกระดูกของวีรบุรุษเหล่านั้นด้วย!”
“ขันทีจ้าว คำพูดของเจ้าได้ทำให้ข้าตาสว่างแล้วจริง ๆ ข้าไม่ควรคิดออกคำสั่งให้ทหารถอยทัพเลย”
หลี่เฉินซวีประสานมือให้แก่จ้าวอู่เจียงเพื่อทำความเคารพด้วยความกระตือรือร้น
“ฝ่าบาท” จ้าวอู่เจียงหันกลับไปเรียกหาเซวียนหยวนจิ้ง เป็นเชิงบอกว่า ได้เวลาที่นางจะพูดอะไรบ้างแล้ว
แต่เมื่อหันไปมองก็พบว่าเซวียนหยวนจิ้งกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
“ฝ่าบาท?” จ้าวอู่เจียงต้องโน้มตัวเข้าไปใกล้
เจ้าเป็นบุรุษประเภทใดกัน? ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดในดวงตาของเซวียนหยวนจิ้ง จนนัยน์ตาขยายกว้างขึ้น หัวใจของนางเต้นระรัว บุรุษผู้นี้ไม่ต่างจากวังน้ำวนที่สามารถดูดกลืนผู้คนเข้าไปได้โดยไม่รู้ตัว
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวอู่เจียงเรียกเสียงดังมากกว่าเดิมเล็กน้อย
เซวียนหยวนจิ้งสะดุ้งตื่นจากภวังค์ สีหน้ากลับมาแสดงความรำคาญใจ “หา? อ้อ สิ่งที่จ้าวอู่เจียงพูดออกมาย่อมถูกต้องทุกประการ!”
หลังจากนั้น นางก็สั่งให้เขาพูดออกมาอีกครั้ง จ้าวอู่เจียงจึงกระแอมไอแห้ง ๆ และกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“บอกคณะทูตของแคว้นไป๋เยว่ว่า แคว้นต้าเซี่ยขอปฏิเสธข้อเสนอดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
‘คำว่าแคว้นต้าเซี่ยขอปฏิเสธ’ เมื่อพูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มนวลของจ้าวอู่เจียง มันก็ทำให้หัวใจของเซวียนหยวนจิ้งรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาอีกครั้ง ช่างเป็นดวงตาที่ชวนมองยิ่งนัก แล้วฮ่องเต้เซวียนหยวนจิ้งก็รับสั่งออกมา
“วันพรุ่งนี้ยามโหย่ว*[1] จะมีการคัดเลือกคู่ครองที่หอผิงคัง ข้าอนุญาตให้ลูกหลานของขุนนางทุกคน ไปแสดงความสามารถได้ตามใจชอบ แล้วมาดูกันว่าจะมีผู้ใดสามารถเอาชนะใจองค์หญิงจากแคว้นไป๋เยว่ได้หรือไม่ และเมื่อถึงเวลานั้น เราจะเจรจาเรื่องเงื่อนไขในสัญญาการอภิเษกสมรสอีกครั้ง แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เราต้องยืนยันว่าจะไม่มีการถอยทัพเด็ดขาด! ใต้เท้าหลี่ ท่านไปเตรียมการมาให้ดี”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปเตรียมตัวให้ดีที่สุด! เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา!”
หลี่เฉินซวีเสนาบดีแห่งกรมพิธีการโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็หันมาประสานมือคำนับให้แก่จ้าวอู่เจียง ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปในที่สุด
ดวงตาขุ่นมัวมีความมุ่งมั่น สติกลับมาแจ่มใสมากขึ้น
จ้าวอู่เจียงเป็นคนที่มีความตรงไปตรงมาและมีคารมคมคาย ฮ่องเต้ยึดถือคนผู้นี้เป็นคนสนิท ไม่แปลกใจเลยที่ตู๋กูอี้เหอจะลงมานั่งอยู่ข้าง ๆ ในงานเลี้ยงที่จวนตระกูลตู๋กู ก่อนหน้านี้เขาคงประเมินจ้าวอู่เจียงต่ำเกินไปสินะ? บุคคลมากความสามารถเช่นนี้ต้องพยายามผูกมิตรเข้าไว้ อย่าไปมีเรื่องขัดแย้งด้วยเป็นอันขาด!
เสนาบดีแห่งกรมพิธีการหลี่เฉินซวีเดินออกมาจากตำหนักหย่างซิน และหันมองกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงได้เห็นว่าบัดนี้จ้าวอู่เจียงกำลังนั่งอยู่เคียงข้างองค์ฮ่องเต้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า