บทที่ 17 ความสงสัย
“เจ้าค้นพบสิ่งใด? อย่าบอกนะว่าเป็นหนอนผีสางนั่นอีกแล้ว?” เซวียนหยวนจิ้งเบิกตาโต
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นกู่พิษแห่งโหลวหลาน มันไม่ได้แข็งแรงเหมือนตัวที่ได้จากศพของแม่ทัพจ้าว แต่เป็นหนอนชนิดเดียวกันไม่ผิดแน่” จ้าวอู่เจียงถูนิ้วมือ และพูดอย่างหนักแน่น
“แต่หนอนตัวนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวหน้าขันทีต้องเสียชีวิต ดูเหมือนมันจะอยู่ในร่างเพื่อควบคุมเขามากกว่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงจำที่กระหม่อมเคยบอกได้หรือไม่ กู่พิษแห่งโหลวหลานมีความสามารถควบคุมจิตใจผู้คน? กระหม่อมสงสัยว่าในวังหลวงอาจมีใครบางคนกำลังซุ่มเลี้ยงกู่เอาไว้”
“และหากกระหม่อมคาดเดาไม่ผิด ผู้ที่เลี้ยงดูกู่พวกนี้ก็น่าจะร่วมมือกับพวกกลุ่มผู้รอดชีวิตแห่งโหลวหลาน หรือบางทีพวกเขาก็อาจกำลังถูกคนของโหลวหลานชักใยอยู่อีกทีก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ! หากเป็นเมื่อก่อน เราก็คงสงสัยว่าตระกูลตู๋กูร่วมมือกับพวกโหลวหลาน แต่พิจารณาดูในตอนนี้ กระหม่อมคิดว่าไม่น่าใช่ และเมื่อแม่ทัพจ้าวป่วยตายเช่นนี้ ปริศนาก็ยิ่งขยายขอบเขต ยากต่อการหาคำตอบมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม่ทัพจ้าวจะเข้าร่วมกับพวกโหลวหลาน?” เซวียนหยวนจิ้งหรี่ดวงตางดงามลง
จ้าวอู่เจียงส่ายศีรษะ
“มีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่เราก็จะไม่ตัดความเป็นไปได้ทิ้งไปพ่ะย่ะค่ะ ก่อนอื่นพวกเราต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าหนอนผีสางพวกนี้เข้ามาอยู่ในร่างกายผู้คนได้อย่างไร หลังจากนั้น เราจึงจะค้นพบเบาะแส”
“อืม…” เซวียนหยวนจิ้งนิ่งเงียบใช้ความคิด
กึก…กึก…กึก… กึก กึก
ในระหว่างที่เซวียนหยวนจิ้งใช้ความคิด นางก็เคาะนิ้วมือเรียวยาวลงบนโต๊ะเป็นจังหวะยาวสาม สั้นสอง หลังจากนั้น นางก็ประกบสองมือเข้าด้วยกัน ทำการตบมือเป็นจังหวะสั้นสองและยาวสาม
เสียงเคาะและเสียงตบมือเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณสำหรับใช้สื่อสารกับเจี๋ยสือจิ่วโดยเฉพาะ พริบตาต่อมา ก็ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้น พร้อมกับเงาสีฟ้าครามปรากฏกายภายในห้อง
เสื้อคลุมสีฟ้าคราม ร่างใหญ่กำยำ สวมหน้ากากอสูร
“ข้าน้อยเจี๋ยสือจิ่วถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” เจี๋ยสือจิ่วโค้งตัวลงประสานมือคำนับเซวียนหยวนจิ้ง ก่อนจะหันมาคำนับจ้าวอู่เจียงด้วยเช่นกัน
“ขันทีจ้าว”
“สือจิ่ว ข้ามีงานให้เจ้าทำ” เซวียนหยวนจิ้งมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันใด
“เจ้านำองครักษ์มังกรสิบคน ไปกระจายกำลังค้นหาคนของโหลวหลาน ที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในเขตตะวันออกนครหลวงของเรา”
“เจี๋ยสือจิ่วน้อมรับพระบัญชา!”
เจี๋ยสือจิ่วโค้งตัวรับคำสั่ง
“ไปได้แล้ว” ฮ่องเต้พยักหน้า
เจี๋ยสือจิ่วก้าวถอยหลังไปเพียงสามก้าว แล้วหายวับไปในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงกระแสลมปั่นป่วนภายในห้องเท่านั้น
…
ราตรีมืดมิดมาเยือน
แสงเทียนไขสว่างไสวอยู่ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้ จ้าวอู่เจียงเดินกลับไปกลับมาเหมือนกำลังรอคอยบางอย่าง ในขณะที่ฮ่องเต้หญิงยังคงนั่งพลิกหน้ากระดาษตำราโบราณด้วยความใจเย็นต่อไป
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงกระซิบอ่อนโยนดังขึ้นหน้าประตู
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะหารือกับพระองค์”
“ตู๋กูหมิงเยว่มีเรื่องอยากจะหารือกับข้าอย่างนั้นหรือ? ไม่น่าใช่”
เซวียนหยวนจิ้งรีบลุกขึ้นยืน ดวงตาเป็นประกายแวววาว หลังจากกล่าวจบแล้ว นางก็เป่าเทียนไขภายในห้องดับลงทันที
แน่นอนว่าในลมหายใจต่อมา ตู๋กูหมิงเยว่ก็ผลักประตูเปิดออก และก้าวเดินเข้ามาในห้อง
จ้าวอู่เจียงยังไม่ทันได้ตั้งตัว เซวียนหยวนจิ้งก็ผลักเขาให้เข้าไปอยู่ข้างกายตู๋กูหมิงเยว่ จนร่างของเขาชนเข้ากับเรือนร่างอันเย้ายวนใจของฮองเฮา
“อืม ฝ่าบาทต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”
ตู๋กูหมิงเยว่กล่าวออกมาด้วยเสียงอ้อยอิ่งในความมืด คว้ามือใหญ่ของจ้าวอู่เจียงไปจับแนบแน่น ชายหนุ่มเองก็ถือโอกาสนี้ลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่ายเช่นกัน



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า