บทที่ 190 อารามผู่ถัว
กลิ่นเลือดจางหายไปแล้ว เจี๋ยสือจิ่วทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดิน รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าภายใต้หน้ากากทองแดงกำลังบิดตัวเหมือนกับอสรพิษที่มีชีวิต
“คุณชาย! หลบหนีไป!” ข้ารับใช้อีกสามคนที่เหลืออยู่ตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเองก็รีบล่าถอยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
หลินเทียนหลางตื่นกลัวจนตัวสั่น ต้องการจะหลบหนี แต่ก็เหมือนมีรากงอกออกจากเท้าหยั่งลงพื้นดิน ทำให้ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ หลินเทียนหลางไม่อยากจะเชื่อ เขายกมือสัมผัสคราบเลือดที่เปื้อนใบหน้า แล้วสีหน้าก็ปรากฏความสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“ย้ากกก!” เจี๋ยสือจิ่วระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นเงาที่พร่าเลือน ไล่ตามไปจัดการชายชราอีกสามคนที่พยายามหลบหนีออกไปจนตายหมดสิ้น
หลังจากนั้น เจี๋ยสือจิ่วก็หันกลับมามองที่หลินเทียนหลางผู้กำลังตื่นกลัว เขากำลังรอคำสั่งจากจ้าวอู่เจียง
“อย่าฆ่าข้าเลยนะ อย่าฆ่าข้าเลย!” หลินเทียนหลางส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ในหัวใจและใบหน้าแสดงความสำนึกเสียใจ ร่างกายที่นั่งอยู่บนหลังม้าสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หมดสิ้นท่าทางหยิ่งผยองถือดีที่เคยมี
“ฆ่ามันซะ” จ้าวอู่เจียงพูดด้วยเสียงเย็นชา
หลินเทียนหลางได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งส่งเสียงกรีดร้องดังกว่าเดิม
“อย่าฆ่าข้าเลย ข้าสามารถมอบ…”
พรึ่บ!
หลินเทียนหลางพูดยังไม่ทันจบ หัวใจก็ระเบิดเป็นม่านหมอกเลือด คำพูดติดค้างอยู่ในลำคอ ตัวคนหงายหลังตกจากหลังม้ากระแทกพื้นดิน
เจี๋ยสือจิ่วตรวจค้นศพของหลินเทียนหลาง และพบกับขวดหยกขาวสองขวด บนขวดหยกแปะกระดาษสีแดงเขียนตัวอักษรคำว่า ‘โอสถฤดูหนาว’ ด้วยผงทองคำ นอกจากนี้ เจี๋ยสือจิ่วยังพบกับแผ่นป้ายไม้สีเขียวอีกด้วย
ดูเหมือนจะเป็นป้ายประจำตัวบางอย่าง มันมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และขอบทั้งสองด้านแกะสลักลวดลายเรียบง่าย
“เรียนท่านเจ้าสำนัก นี่คือป้ายสมาชิกของสำนักกลิ่นบุปผา และนี่คือโอสถฤดูหนาวขอรับ!” เจี๋ยสือจิ่วส่งป้ายไม้และขวดหยกขาวให้แก่จ้าวอู่เจียง
จ้าวอู่เจียงจ้องมอง และถามด้วยความสงสัย “โอสถฤดูหนาว?”
เจี๋ยสือจิ่วประสานมือคำนับ อธิบายด้วยเสียงขรึม
“สำนักกลิ่นบุปผาดูแลสมาชิกของตนเองเป็นอย่างดี เนื่องจากช่วงนี้กำลังเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ร่วงสู่ฤดูหนาว พวกเขาจึงนำสมุนไพรวิเศษในสำนักมาสกัดเป็นโอสถฤดูหนาว ใช้สำหรับคลายหนาวให้แก่บุรุษและสตรีขอรับ!”
ใช้สำหรับคลายหนาวให้แก่บุรุษและสตรีอย่างนั้นหรือ… จ้าวอู่เจียงไอออกมาแห้ง ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความหมายที่ซ่อนเร้น ก่อนจะยัดขวดหยกเข้าไปในแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้ลวดลายที่เรียบง่ายบนแผ่นป้ายสมาชิกของสำนักกลิ่นบุปผานั้น มีการซ่อนลวดลายบางอย่างเอาไว้
“ทำไมท่านต้องเก็บยาอัปมงคลนั้นมาด้วย?” กู้เหนียนหยวนถามด้วยความพิศวง เนื่องจากโอสถฤดูหนาวของสำนักกลิ่นบุปผาเป็นที่เลื่องลือในยุทธจักรว่า สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สตรีมามากมาย
“ข้าเป็นหมอยา ยาทุกชนิดล้วนมีค่า อาจจะสามารถนำมาสกัดเป็นตัวยาชนิดอื่นได้” จ้าวอู่เจียงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“และมีแต่ความเข้าใจการปรุงยาที่แท้จริงเท่านั้น ถึงจะสามารถช่วยเหลือคนเจ็บให้ปลอดภัยได้สำเร็จ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า