บทที่ 213 บางคนนอนหลับสบายใจ บางคนถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง
ธิดาศักดิ์สิทธิ์คร่อมอยู่ด้านบนจ้าวอู่เจียง เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งนางส่งเสียงร้องออกมาปานจะขาดใจ
หลังจากนั้น ซูฮัวอีก็กัดฟันกรอด บังเกิดเป็นความรู้สึกโกรธแค้น ผสมปนไปกับความสุข ความเดือดดาลใจและความขยะแขยง
ในเวลาเดียวกันนี้ ระหว่างที่จ้าวอู่เจียงกับซูฮัวอี ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักกลิ่นบุปผากำลังต่อสู้กันอย่างร้อนแรงนั้น การต่อสู้ที่แท้จริงในสุสานของไต้ซือนักปัดกวาดก็ยุติลง
เซวียนหยวนอวี้เหิงผนึกกำลังกับผู้อาวุโสทั้งสิบคนของสำนักมังกรเงินทำการโจมตีเหล่ายอดฝีมือที่มาห้อมล้อม เซวียนหยวนอวี้เหิงใช้วิชามหาเทพดูดดาวดูดพลังของศัตรูมาเป็นของตนเองอย่างไร้ความเมตตา
แต่อย่างไรก็ตาม น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เมื่อเผชิญหน้าการโจมตีจากซือคงปู๋เจี๋ยและเจียงเฉิงเฟิง ความแข็งแกร่งของเซวียนหยวนอวี้เหิงก็ยังถือว่าเป็นรองฝ่ายตรงข้ามอยู่พอสมควร เพียงไม่นาน เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องล่าถอย
เซวียนหยวนอวี้เหิงหลบหนีออกจากการปิดล้อมในสุสาน แฝงตัวเข้าไปในความมืดมิด โดยผู้อาวุโสทั้งสิบคนช่วยถ่วงเวลา
นั่นหมายความว่าการเดินทางมาอารามผู่ถัวในครั้งนี้ นอกจากจะล้มเหลวในการแย่งชิงคัมภีร์ปราณไร้วิญญาณแล้ว เซวียนหยวนอวี้เหิงยังต้องสูญเสียยอดฝีมือระดับสูงของสำนักไปถึงสิบคน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้ใช้วิชามหาเทพดูดดาว กลายเป็นศัตรูของผู้คนในยุทธจักรไปโดยปริยาย หนำซ้ำ ยังถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ขโมยคัมภีร์ปราณไร้วิญญาณไปอีก
เซวียนหยวนอวี้เหิงซ่อนตัวอยู่ในความมืด เดินผ่านผืนป่าหนาทึบ โดยที่มีกลุ่มยอดฝีมือไล่หลังตามมา
ทั้งปาก จมูกและใบหูของเขามีโลหิตไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เซวียนหยวนอวี้เหิงก็ไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่ชั่วขณะเดียว
นับตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่รู้เลยว่าป้ายจากสำนักมังกรเงินไปอยู่ในโลงศพของไต้ซือนักปัดกวาดได้อย่างไร
สำนักมังกรเงินคงถึงจุดจบแล้ว… หัวใจของเขาปั่นป่วน ผู้ที่ไล่ตามมาในขณะนี้เป็นยอดฝีมือ เซวียนหยวนอวี้เหิงรู้ดีว่าต่อให้หนีรอดไปได้ในคืนนี้ แต่สำนักมังกรเงินก็คงต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของผู้คนในยุทธจักรอยู่ดี รากฐานอำนาจที่เขาก่อสร้างมาหลายปี กำลังจะถูกทำลายลงภายในวันเดียว
แม้จะไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่จะตัดใจ แต่ก็ทำให้เซวียนหยวนอวี้เหิงรู้สึกหัวใจสลาย เพราะสำนักมังกรเงินคือฐานอำนาจที่เขาก่อสร้างขึ้นมาเองกับมือ
หลังจากหลบหนีออกมาได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม เซวียนหยวนอวี้เหิงก็เดินผ่านบ่อโลหิตยามราตรี แล้วชายชราสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ทั้งสองคนสวมหมวกฟาง ใส่เสื้อคลุมสีม่วงเข้ม ล้วนแต่เป็นคนที่เขาเชิญมาจากแดนใต้ เป็นผู้อาวุโสจากเผ่าโหลวหลาน
เจียงเฉิงเฟิงและคนอื่น ๆ ที่ไล่ตามบุรุษไร้หน้าต้องหยุดชะงัก พวกเขาไม่ได้กลัวชายชราสองคนนี้ แต่พวกเขากลัวหนอนผีสางที่คลานยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นต่างหาก
พวกมันมีขายุบยับไม่ต่างจากกิ้งกือ มีหัวขนาดใหญ่เท่าคางคก มีความยาวเท่างูเหลือม มีปีกงอกออกมาเหมือนนกอินทรี ซ้ำยังมีดวงตาแดงก่ำ
“บุรุษไร้หน้า เจ้าสมคบคิดกับคนเถื่อนจากแคว้นหนานเจียง หมายความว่าเจ้าคิดก่อกบฏต่อแผ่นดินต้าเซี่ยใช่หรือไม่!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดัง
เซวียนหยวนอวี้เหิงหัวเราะเยาะกลับไปเป็นคำตอบ สายตาจ้องมองกลุ่มคนที่ตามมาด้วยความเย็นชา ฝูงกู่พิษบนพื้นคือสิ่งที่กั้นกลางระหว่างพวกเขา หลังจากนั้น เซวียนหยวนอวี้เหิงก็เดินหายเข้าไปในม่านหมอกยามราตรีพร้อมด้วยผู้อาวุโสทั้งสอง
พวกกู่บนพื้นส่งเสียงแปลกประหลาด ก่อนที่พวกมันจะกระโดดเข้าใส่กลุ่มยอดฝีมือ และระเบิดตัวกลายเป็นม่านหมอกเลือดต่อหน้าพวกเขา
…
โชคชะตาของคนเราล้วนแตกต่างกันไป
นกพิราบขาวตัวหนึ่งสยายปีกบินข้ามหุบเขา ข้ามพื้นที่ราบ ดินโคลน ป่าไผ่ อารามโบราณ ก่อนจะร่อนลงไปเกาะบนมือของชายผู้หนึ่ง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า