บทที่ 221 สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง (2)
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงลั่นกลองเรียกประชุมขุนนางดังกังวานไปทั่ววังหลวง
วันนี้สายลมแรง เหล่าขุนนางที่ได้รับทราบข่าวลือเกี่ยวกับเซียวเหยาอ๋องเมื่อวานนี้ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด และบางส่วนก็พยายามจะสบสายตาพรรคพวกเดียวกัน
หลังจากยืนพูดคุยกันอยู่สักครู่หนึ่ง ทุกคนก็ถูกเรียกตัวเข้าสู่ท้องพระโรง และการประชุมขุนนางก็เริ่มต้นขึ้น
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร รับฟังการรายงานปัญหาเรื่องราวอื่น ๆ จากขุนนางกลุ่มแรก แต่ก็รู้ดีว่าวันนี้จะต้องมีผู้คนก้าวออกมาเอ่ยถึงเรื่องการเชิญตัวเซียวเหยาอ๋องเข้าร่วมราชสำนักเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของแคว้นต้าเซี่ยอย่างแน่นอน
เมื่อวานตอนบ่าย นางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซียวเหยาอ๋อง ตอนแรกฮ่องเต้หญิงก็รู้สึกดีใจ แต่ก็ต้องรีบสงบสติอารมณ์ลง เนื่องจากมันเป็นข่าวลือที่ไม่มีหลักฐาน…
คนเราจะกล่าวหากันอย่างไรก็ได้ ดังนั้น เว้นแต่จะมีหลักฐานมายืนยัน บรรดาขุนนางที่สนับสนุนเซียวเหยาอ๋องย่อมไม่มีทางหลงเชื่อข่าวลือโดยเด็ดขาด
แววตาของนางปรากฏความวิตกกังวล ฮ่องเต้หญิงจ้องมองไปที่จ้าวอู่เจียงซึ่งยืนอยู่ปลายแถวขุนนาง และก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่ตนเองอยู่พอดี เขายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน ทำให้ความวิตกกังวลลดลงไปได้พอสมควร แต่ความสงสัยกลับยิ่งมากขึ้น
ฮ่องเต้หญิงรู้ดีว่าจ้าวอู่เจียงคงเป็นผู้ปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับเซวียนหยวนอวี้เหิง แต่การจะใช้ข่าวลือมาตัดแขนตัดขาของเซียวเหยาอ๋องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่เข้าใจเลยว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด
ครึ่งชั่วยามให้หลัง บรรดาขุนนางก็จบการรายงานของตนเอง
ฮ่องเต้กล่าวด้วยความสุขุม
“หากผู้ใดมีอะไรจะกล่าวก็จงก้าวออกมาข้างหน้า หากไม่มีเรื่องราวใดแล้ว ก็แยกย้ายกันไปได้!”
นางรู้ว่าจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้น แต่นางก็แค่หวังว่าโชคจะเข้าข้างตนบ้าง
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากจะร้องเรียนพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชุดดำคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า เขามีหนวดเครายาวเฟิ้ม ท่าทางสง่างาม คนผู้นี้คือเยียนอันเสิ่นเสนาบดีกรมโยธา
ฮ่องเต้หญิงได้แต่แอบทอดถอนหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
“มีเรื่องอันใดหรือ เสนาบดีเยียน?”
“กราบทูลฝ่าบาท” เยียนอันเสิ่นดึงชายเสื้อคลุมขึ้น คุกเข่าลงบนพื้น และยื่นส่งจดหมายฉบับหนึ่งออกมาด้วยสองมือ
“ฤดูร้อนปีนี้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนมากมาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า บ้านเมืองไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตนเอง ไม่ว่ามองไปยังทิศทางใดก็พบเห็นแต่ความเสื่อมโทรมทั้งสิ้น”
“กระหม่อมเคยอยู่ในแผ่นดินที่รุ่งเรืองภายใต้การปกครองของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นเพราะพระองค์ กระหม่อมถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกรมโยธา และนั่งตำแหน่งขุนนางขั้นสามมาจนถึงวันนี้”
“บัดนี้ เมื่อกระหม่อมต้องเห็นบ้านเมืองระส่ำระสาย กระหม่อมก็รู้สึกร้อนใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ภัยธรรมชาตินั้นพวกเราสามารถป้องกันได้ บ้านเรือนของผู้คนก็สามารถซ่อมแซมได้ ทว่าพวกเราไม่ควรปล่อยให้จิตใจของราษฎรต้องแตกสลายยาวนานมากไปกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมพบว่ามีบุคคลหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน ในเมื่อแผ่นดินต้าเซี่ยกำลังพบเจอความเดือดร้อนอยู่เช่นนี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่เชิญตัวคนผู้นั้นเข้ามาร่วมราชสำนักเล่า? นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือชาวต้าเซี่ยแล้ว นี่ยังเป็นการแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เซียวเหยาอ๋องเคยทำงานอยู่ในราชสำนักช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อนมาแล้ว เซียวเหยาอ๋องมีจิตใจอ่อนโยน เข้าใจความรู้สึกทุกข์ยากของราษฎร หากว่าเซียวเหยาอ๋องกับฝ่าบาททรงร่วมมือกันช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เช่นเดียวกับการช่วยเหลือจากขุนนางหลายร้อยคน เหตุใดแผ่นดินต้าเซี่ยจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งไม่ได้?”
เยียนอันเสิ่นดูเหมือนใช้ความพยายามทั้งชีวิตเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อสรรเสริญความดีความชอบของเซียวเหยาอ๋องในทุก ๆ ตัวอักษร
“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกัน…”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า