บทที่ 222 สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง (3)
“ข้าพเจ้าจ้าวอู่เจียงมีความเคารพเทิดทูนเซียวเหยาอ๋องอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้ากล่าวว่าพระองค์มีความไม่เหมาะสมที่สุด” จ้าวอู่เจียงพูดออกมาเบา ๆ
“และสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอยู่ต่างหากที่เป็นการดูหมิ่นพระองค์!”
เมื่อจ้าวอู่เจียงพูดจบ กลุ่มขุนนางที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็สวนกลับด้วยความเย้ยหยันทันที
“จ้าวอู่เจียง อย่ามาพูดจาเหลวไหล! พวกเราดูหมิ่นเซียวเหยาอ๋องตรงไหนกัน!”
“เฮอะ เจ้าเอาแต่พูดจาเหลวไหล นี่หรือคือการแสดงความจงรักภักดี?”
“เจ้าแค่ต้องการจะก่อกวนต่างหาก เจ้าคิดว่าท้องพระโรงเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร?”
“เจ้าตัวตลก คงอยากจะเรียกร้องความสนใจจากพวกเราสินะ…”
“พระนามของเซียวเหยาอ๋องแปลว่าอิสระเสรี พระองค์รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี เข้าใจถึงกิจการบ้านเมืองอย่างถ่องแท้ และมีความห่วงใยราษฎร แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็เลือกที่จะละทิ้งงานบ้านเมืองไปหลายปีเพื่อออกท่องยุทธภพ…ใช่หรือไม่?” จ้าวอู่เจียงจ้องมองไปยังกลุ่มขุนนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดยิ้ม ๆ ต่อไป
“นั่นเป็นเพราะว่าเซียวเหยาอ๋องมีจิตใจรักอิสระเสรี ต้องการจะออกเดินทางท่องโลกกว้าง ทว่า…พวกท่านจะบังคับให้พระองค์ต้องอยู่แต่ในนครหลวง รับภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า นี่ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์ผู้มีจิตใจรักอิสระเสรีหรอกหรือ? พวกท่านบอกข้าหน่อยสิ หากเซียวเหยาอ๋องต้องการจะเข้าร่วมราชสำนักจริง ๆ เขาจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้ได้อย่างไร?”
บรรดาขุนนางที่นั่งคุกเข่าต่างก็พูดอะไรไม่ออก น้ำเสียงของจ้าวอู่เจียงบอกชัดว่าอีกฝ่ายเคารพและเทิดทูนเซียวเหยาอ๋องด้วยใจจริง
แต่พวกเขาก็เข้าใจความทะเยอทะยานของเซียวเหยาอ๋องเช่นกัน
ถึงกระนั้น คำพูดของจ้าวอู่เจียงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ พระนามของเซียวเหยาอ๋องแปลว่าอิสระเสรี และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ก็แสดงออกว่าชื่นชอบการท่องเที่ยวมากกว่าการบริหารบ้านเมือง
หลิวเจ๋อถึงกับดวงตาวาววับด้วยความชอบใจ ซ่อนมืออยู่ในแขนเสื้อ จ้องมองจ้าวอู่เจียงด้วยความชื่นชม
คนผู้นี้มีวาจาร้ายกาจนัก วิสัยทัศน์ก็กว้างไกล ชายชราคิดว่าหากจ้าวอู่เจียงรับราชการเร็วกว่านี้ ตอนนี้คงได้นั่งตำแหน่งอัครเสนาบดีไปแล้ว
ตู๋กูอี้เหอลอบหัวเราะอยู่ในใจ ตบไหล่เสนาบดีกรมพิธีการที่อยู่ข้างกาย พากันจ้องมองไปที่จ้าวอู่เจียง และพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ฮ่องเต้หญิงเองก็ลอบถอนหายใจเงียบ ๆ เช่นกัน
เสนาบดีกรมโยธาที่ก้มหน้าจ้องมองพื้นหินตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาไหววูบ เขาพยายามสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหันไปสบสายตากับบรรดาพรรคพวก พยายามคิดหาวิธีเอาชนะคำพูดอันร้ายกาจของจ้าวอู่เจียง
พวกเขาจะปล่อยให้จ้าวอู่เจียงเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบไม่ได้เด็ดขาด
บัดนี้ หลายคนเริ่มสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว พวกเขาไม่ควรเสนอชื่อเซียวเหยาอ๋องเข้าสู่คณะบริหารเลยจริง ๆ
เมื่อเยียนอันเสิ่นเห็นสีหน้าและแววตาของคนอื่น ๆ เขาก็ได้แต่สบถด่าคนเหล่านั้นอยู่ในใจ เจ้าพวกโง่จิตใจโลเล ไม่เหมือนเขาที่มีจิตใจมั่นคง รู้ดีว่าตนเองสมควรยืนอยู่ฝ่ายใดมากที่สุด


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า