บทที่ 239 ธิดาศักดิ์สิทธิ์มาหาถึงหน้าประตู
ซูฮัวอีควบคุมให้ม้าเดินตามการนำทางของหญิงร่างอ้วนตรงไปยังที่ตั้งของสำนักไร้ขอบเขต
“นี่ แม่นางน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ฟัง เจ้าคงได้ยินเรื่องการแต่งบทกวีอันยอดเยี่ยมของท่านเจ้าสำนักไร้ขอบเขตใช่หรือไม่? แต่เจ้าก็คงอยากรู้เช่นกันกระมังว่าผู้ที่ร่วมโต๊ะสุราในวันนั้นเป็นผู้ใดบ้าง พวกเขาถึงกับได้รับการเรียกขานให้เป็นสหายในบทกวี ‘ดื่มอวยพร’ เช่นนั้น?” หญิงร่างอ้วนพูดต่อไป
“คนแรกนั้นคือไห่ไป๋ฉวนมีสถานะเป็นเจ้าสำนักสมุทรหลวง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของนครหลวง ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักไร้ขอบเขต คนแรกหน้าตายิ้มแย้มใจดี อีกคนหน้าตาน่ากลัวมีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า… ข้ารับรองเลยว่าเจ้าคงไม่เคยเห็นผู้ใดมีใบหน้าและรอยแผลเป็นน่ากลัวถึงเพียงนั้นมาก่อน…”
ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมหน้าของซูฮัวอีซีดขาวเล็กน้อย นางเหนื่อยล้าจากการเดินทางโดยไม่หยุดพัก แต่เมื่อนึกถึงว่ากำลังจะได้พบบุคคลที่อยู่ในหัวใจ นางก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจและมีกำลังวังชามากขึ้นทันที
และด้วยความที่ตลอดทางหญิงร่างอ้วนยังคงพูดจาไม่หยุด ในที่สุดซูฮัวอีก็ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับพรสวรรค์ของเจ้าสำนักไร้ขอบเขตได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เจ้าสำนักไร้ขอบเขตดื่มสุราและแต่งบทกวีระหว่างการประชุมกลุ่มสำนักใต้ดินในนครหลวง แสดงพรสวรรค์ ทำให้คนทั่วนครหลวงต่างเคารพยกย่องจากใจจริง
บทกวีเหล่านั้นถูกขับขานกันปากต่อปาก และตอนที่ซูฮัวอีได้ยิน นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน
หญิงสาวคิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษผู้นั้นนอกจากจะมีวรยุทธ์สูงส่งแล้ว ยังมีตำแหน่งใหญ่โตและมีพรสวรรค์ด้านการแต่งบทกวีอีกด้วย
นับเป็นบุรุษที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในหัวใจของซูฮัวอีเช่นเดียวกับบนใบหน้าของนาง แต่เมื่อนางยิ้ม รอยยิ้มกลับกระทบกับรอยฟกช้ำบนใบหน้า ทำให้อดขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงร่างอ้วนก็พาซูฮัวอีมาถึงหน้าประตูสำนักไร้ขอบเขต
ในขณะนี้ ประตูของสำนักปิดสนิทและมีกลุ่มคนยืนรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเป็นจำนวนมาก
ส่วนใหญ่เป็นบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ต้องการจะเข้าพบเจ้าสำนัก พวกนางมาที่นี่พร้อมกับบ่าวรับใช้หรือไม่ก็พี่ชาย แต่เมื่อประตูสำนักไม่มีทีท่าว่าจะเปิดในเร็ว ๆ นี้ ทุกคนจึงทำได้เพียงยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ที่หน้าประตู
ซูฮัวอีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อตนปรากฏตัว สตรีจำนวนมากก็หันมามองด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
สตรีย่อมเข้าใจสตรีด้วยกันที่สุด พวกนางล้วนดูออกว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าของซูฮัวอีนั้น ได้ซุกซ่อนรูปโฉมอันงดงามเอาไว้ นี่จึงทำให้พวกนางตั้งตนเป็นศัตรูโดยปริยาย
และเมื่อเห็นคราบเลือดบนชุดของซูฮัวอี หลายคนก็ส่งเสียงอุทานออกมา
“ถึงกับยอมสวมใส่ชุดเปื้อนเลือดเช่นนี้ นางคงต้องการเรียกความสงสารจากท่านเจ้าสำนักไร้ขอบเขตสินะ ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน!”
“ที่เอาผ้ามาคลุมหน้าเช่นนี้ ก็คงเป็นการยั่วยวนให้บุรุษพยายามจ้องมองมากกว่าเดิม…”
“เฮอะ สงสัยภายใต้ผ้าคลุมหน้าคงมีแต่ความอัปลักษณ์มากกว่า…”
“สตรีมากมารยาเช่นนี้ น่ารังเกียจจริง ๆ…”
“หึหึ ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักออกเดินทางท่องยุทธจักรมาแล้วเช่นกัน แม่นางท่านนี้คงต้องการจะสร้างภาพลักษณ์ของหญิงชาวยุทธผู้โชคร้าย เพื่อพยายามเข้าหาท่านเจ้าสำนักจ้าวใช่หรือไม่?”
“ต่อให้นางมาจากยุทธจักรจริง ๆ แล้วนางมีค่ามากพอที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ กับท่านเจ้าสำนักเชียวหรือ? ข้าได้ยินมาว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านเจ้าสำนักนั้น หล่อเหลาอย่างหาตัวจับได้ยากทีเดียว”
“หาตัวจับยากอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เลย บัดนี้กวาดตาดูทั่วนครหลวง ความหล่อเหลาในระดับท่านเจ้าสำนักนั้น เรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในโลกต่างหาก!”
“นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ย่อมเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ข้าเคยติดตามท่านพ่อไปร่วมงานเลี้ยง และข้าก็มีโอกาสได้พบกับเจ้าสำนักด้วย แต่ข้าเคยพบเขาเพียงครั้งเดียว และได้เห็นหน้าเขาเพียงครึ่งหน้าเท่านั้น”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?”
“เพราะว่าที่นั่งของบิดาข้ามีฉากกั้นไว้น่ะสิ สถานะของบิดาข้ายังไม่สูงส่งมากพอที่จะได้เข้าไปนั่งใกล้ชิด ข้าจึงได้เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของท่านเจ้าสำนักเท่านั้น แต่ข้าสามารถบอกได้เลยว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาที่สุดแล้ว”
“หล่อเหลาก็ส่วนหนึ่ง แต่ความยอดเยี่ยมของท่านเจ้าสำนักคือพรสวรรค์ของเขาต่างหาก”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า