บทที่ 258 เจ้าได้ข่าวหรือไม่?
เฉินชานผู้มารายงานข่าวสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความตกตะลึงของจูอวี้เหวินและพรรคพวก เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนาเล็กน้อย
แต่เขาเองก็ตกตะลึงเช่นนี้เหมือนกันตอนที่ได้ยินข่าวเมื่อตอนบ่าย
และในเวลาเดียวกันนี้ เฉินชานก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในความสามารถของจ้าวอู่เจียงมากยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นบทกวีปลุกใจบัณฑิต บทกวีเกี่ยวกับครอบครัวและบ้านเมือง บทกวีเกี่ยวกับความรักระหว่างบุรุษสตรี และอื่น ๆ ล้วนสามารถแต่งพวกมันออกมาได้อย่างง่ายดาย
เฉินชานไม่ได้ไปเห็นบรรยากาศแห่งความตกตะลึงในห้องจัดเลี้ยงของหอฉินเจิ้งด้วยตนเอง แต่เพียงฟังจากปากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ หัวใจของเฉินชานก็รู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างยิ่ง
“พวกท่านทราบหรือไม่ว่าท่านเจ้าสำนักไร้ขอบเขตแต่งบทกวีอันใดบ้างในหอฉินเจิ้งวันนี้?” เฉินชานกล่าวด้วยท่าทางสงบสุขุม มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างจับอยู่ที่เข็มขัดหยกบนเอว สีหน้าภาคภูมิใจ เพราะรู้สึกได้ว่าพวกของจูอวี้เหวิน หวังเจวี่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังจ้องมองมาที่ตนด้วยแววตาคาดหวัง
นี่คือความรู้สึกของการได้ตกเป็นจุดสนใจของผู้คน
“น้องเฉิน ได้โปรดกล่าวมาเถอะ…” จูอวี้เหวินดวงตาร้อนผ่าว พลันเขากับหวังเจวี่ยรีบนำกระดาษกับพู่กันออกมาจากในแขนเสื้อ
ในเวลาเดียวกันนี้ มีผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินคำพูดของเฉินชาน พวกเขาจึงมารวมตัวกันด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากฟังว่าเจ้าสำนักไร้ขอบเขตแต่งบทกวีบทใหม่ออกมาอย่างไรบ้าง
“อะแฮ่ม” เฉินชานกระแอมไอ ในขณะนี้ เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นจ้าวอู่เจียง ความภาคภูมิใจอัดแน่นอยู่เต็มอก พลางกล่าวออกไปเสียงดังฟังชัด
“บทกวีมีอยู่ด้วยกันสามบท กวีบทแรกเป็นการอุทิศให้แก่เหล่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ทำงานรับใช้บ้านเมือง!”
“ประชาชนถูกข่มเหงได้ง่าย แต่สวรรค์มีตา การช่วยเหลือเป็นบุญ เหล่าขุนนางทหารเพื่อนเกลอ ย่อมพบเจอสวรรค์ประทานพร เพียงประพฤติตนอยู่ในความดี ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องให้ทุกข์โศก เดินทางกลับบ้านหาลูกเมีย อย่างไรเสียสวรรค์คุ้มครองคน”
“บทกวีที่สอง…”
จูอวี้เหวินบันทึกบทกวีเหล่านั้นลงบนหน้ากระดาษด้วยความรวดเร็ว บทกวีแรกมีความสูงส่งและสอนใจผู้คนได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นใต้เท้าจ้าว
มีกลุ่มคนมายืนรวมตัวกันอยู่โดยรอบมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาต่างก็มาเพื่อหยุดฟังการถอดความบทกวีที่จ้าวอู่เจียงได้แต่งเอาไว้ในหอฉินเจิ้ง โดยที่มีเฉินชานเป็นผู้ถ่ายทอดอย่างได้อารมณ์สมจริง
“ช่างประเสริฐยิ่งนัก!” เฉินชานถ่ายทอดบทกวีจบลงด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอเต็มสองเบ้า เขาวาดมือในอากาศอย่างวางท่า อธิบายฉากเหตุการณ์ในจินตนาการของตนอย่างออกรส
“บทกวีเหล่านี้กระแทกหัวใจคนฟังเป็นอย่างยิ่ง! พวกท่านรู้หรือไม่ว่าบทกวีนี้ถึงกับทำให้ท่านใต้เท้าหลิวเจ๋อทรุดลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นและร้องไห้ออกมาไม่หยุด! กระทั่งใต้เท้าตู๋กูอี้เหอผู้เป็นหัวหน้าตระกูลตู๋กูก็หลั่งน้ำตานองหน้าเช่นกัน! เนื่องจากบทกวีของใต้เท้าจ้าวได้ไปกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกจากในอดีตของพวกท่านให้หวนคืนกลับมา…”
“เอ่อ… ใต้เท้าหลิวเจ๋อกับใต้เท้าตู๋กูจะร้องไห้ออกมาง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ต่อให้พวกท่านมีความซาบซึ้งในบทกวีมากเพียงใด แต่ก็คงไม่ร่ำให้ออกมาให้ผู้ใดเห็นหรอกกระมัง…” ใครบางคนตั้งคำถาม
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” ถึงแม้เฉินชานจะคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นมีเหตุผล แต่เมื่อมีผู้คนรับฟังเป็นกลุ่มใหญ่เช่นนี้ จะให้เฉินชานยอมรับง่าย ๆ ได้อย่างไรว่าสิ่งที่บอกเล่าออกไปนั้นเป็นเขาแต่งเติมขึ้นมาเอง?
ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาอันร้อนแรงรอบตัว เฉินชานอธิบายต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“โบราณกล่าวไว้ว่า สตรีจะยอมแต่งกายงดงามเพื่อผู้ที่เอาใจนาง ส่วนบุรุษยินดียอมตายเพื่อให้ได้พบกับผู้ที่เข้าใจตนเอง! ใต้เท้าหลิวและใต้เท้าตู๋กูควบคุมอำนาจสูงส่งมาเนิ่นนานหลายปี มีผู้ใดบ้างที่จะเข้าใจพวกท่าน? มีผู้ใดบ้างที่จะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกอันโดดเดี่ยวของพวกท่าน?”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีเลย แต่แล้วใต้เท้าจ้าวก็ปรากฏตัว เมื่อเผชิญกับบทกวีที่ตอกย้ำจิตใจเช่นนี้ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะสามารถกลั้นน้ำตาได้อีกหรือ?”
บรรดากลุ่มคนฟังตกตะลึง คิดว่าคำอธิบายนี้มีเหตุผล จึงเริ่มต้นพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
“ช่างเถอะ อย่างไรก็ถือว่าเมื่อวานข้าโชคดีมากนักที่ได้พบกับท่านเจ้าสำนักจ้าวที่กำแพงของกรมพิธีการ ท่านเจ้าสำนักก็มีความหล่อเหลาสมคำร่ำลือจริง ๆ”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า