บทที่ 261 สามหญิงหนึ่งเรื่องเศร้า
ภายใต้แสงเทียนไข จ้าวอู่เจียงวาดพิมพ์เขียวเส้นทางต่าง ๆ ในตำหนักนางสนมขึ้นมา เขากำหนดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ จุดที่ควรระวังป้องกัน แล้วบอกให้ฮ่องเต้หญิงกำชับให้เหล่าองครักษ์มังกรไปจับตาดูบริเวณเหล่านั้นเป็นพิเศษ
ในเวลาเดียวกันนี้ จ้าวอู่เจียงก็ยังได้แจ้งให้ฮ่องเต้หญิงทราบว่าในอีกสองวันเขาจะออกจากนครหลวงเพื่อเดินทางไปตามหาบางอย่างที่เมืองหลันโจว
นี่ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนคัมภีร์ปราณไร้วิญญาณ ซึ่งความลับในการฝึกฝนถูกซุกซ่อนอยู่ในอารามหลานรั่วที่อยู่นอกเมืองหลันหลิน หัวเมืองหลันโจว
เวลาน้อยลงทุกที จ้าวอู่เจียงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปที่นั่นด้วยตนเอง
ขณะนี้ การฝึกวิชาทองคำไร้พ่ายก็มาถึงจุดคอขวดแล้ว จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสามารถฝึกฝนหลาย ๆ วิชาได้ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ สุดท้ายจึงกลับกลายเป็นว่าทุก ๆ วิชาที่กำลังฝึกฝนต่างก็เกิดความติดขัดไปหมด
หากไม่ใช่ว่ามีภัยคุกคามจากการก่อกบฏของเซียวเหยาอ๋องมาจ่ออยู่ที่ต้นคอ จ้าวอู่เจียงก็คงเลือกที่จะฝึกวิชาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมันมากกว่า
แต่เมื่อมีภัยคุกคามไล่หลังมาเช่นนี้ จ้าวอู่เจียงก็จำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาพอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเซียวเหยาอ๋องจะทำอะไรต่อไป
แม้จะไม่มีสำนักมังกรเงินในนครหลวงอีกแล้ว แต่อาศัยกองทัพคนเถื่อนจากแดนเหนือและแคว้นหนานเจียงจากแดนใต้ เพียงเท่านี้ ก็สามารถเป็นภัยคุกคามต่อแคว้นต้าเซี่ยได้ใหญ่หลวงยิ่งนัก
และเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหยาอ๋องถูกเปิดโปงแล้ว เขาก็ไม่ปิดบังหลบซ่อนอีกต่อไป เซียวเหยาอ๋องใช้วิชามหาเทพดูดดาวออกไล่ล่าสังหารผู้คนในยุทธจักรเป็นจำนวนมากเพื่อดูดพลังมาเป็นของตน
ครั้งก่อนตอนที่เซียวเหยาอ๋องเข้าวังหลวง เขามาเพื่อขอร้องให้ฮ่องเต้ประกาศราชโองการเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสระหว่างตนกับธิดาเทพของชาวหนานเจียง แต่หากเซียวเหยาอ๋องมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า เขาคงไม่เดินเข้ามาขอร้องฮ่องเต้ก่อนก่อการกบฏอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าพระราชโองการจะถูกประกาศออกมาจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างเซวียนหยวนจิ้งหรือจะถูกประกาศออกมาโดยฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างเซวียนหยวนอวี้เหิง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
จ้าวอู่เจียงยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ แววตาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่พวกมันจะกลับมามีความลึกล้ำและหนักแน่นอีกครั้ง
…
วันต่อมา
เมื่อเรื่องที่โรงหมอหลวถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของตำหนักนางสนมแพร่กระจายออกไป ก็เกิดความตกตะลึงในหมู่ขุนนางอย่างมากมาย
แม้ว่าโรงหมอหลวงจะเป็นหนึ่งในขอบเขตภายใต้การปกครองของตำหนักนางสนมอยู่แล้ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาทำงานขึ้นตรงต่อกรมแพทย์หลวง และจะรับคำสั่งในการจัดการเรื่องราวต่าง ๆ จากกรมแพทย์หลวงเท่านั้น
แต่บัดนี้ โรงหมอหลวงถูกตัดขาดออกจากกรมแพทย์หลวง เปลี่ยนไปทำงานขึ้นตรงต่อตำแหน่งนางสนมเพียงผู้เดียว จ้าวอู่เจียงผู้เป็นหัวหน้าขันทีจึงมีหน้าที่ดูแลโรงหมอหลวงไปโดยปริยาย
นี่จึงกลายเป็นภาระหน้าที่อันใหญ่โตไปกว่ายศขุนนางขั้นห้าของจ้าวอู่เจียงหลายเท่านัก
บัดนี้จ้าวอู่เจียงมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าขันทีและเป็นขุนนางในหอคัมภีร์หลวง เมื่อรวมตำแหน่งผู้ดูแลโรงหมอหลวงเข้าไปอีก จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยสำหรับผู้ที่มียศขุนนางเพียงขั้นห้าเท่านั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่าขุนนางขั้นห้าไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตอันใด ไม่เคยมีผู้ใดต้องรับผิดชอบหน้าที่ใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน
ช่างน่าอิจฉาอะไรเช่นนี้ บรรดาขุนนางพากันถอนหายใจเมื่อได้ยินข่าว ในความคิดของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะกลัวข้อครหาว่าจ้าวอู่เจียงได้รับการเลื่อนขั้นรวดเร็วมากเกินไป ฮ่องเต้ก็คงแต่งตั้งเขาขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังไปแล้วกระมัง?
ในขณะที่บางคนตกตะลึงและชื่นชมในวาสนาของจ้าวอู่เจียง บางส่วนก็รู้สึกอิจฉาริษยา แต่คนจำพวกนี้มีไม่มากนัก
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า