บทที่ 279 แรงราคะ
ภายใต้แสงจันทร์อันโดดเดี่ยว อารามหลานรั่วมีบรรยากาศที่วังเวงเป็นอย่างยิ่ง
จ้าวอู่เจียงพยายามมองหาหลวงจีนชราใต้แสงจันทร์ แต่ก็ไม่พบ
เขาไม่เชื่อว่าเจ้าอาวาสของอารามหลานรั่วจะไม่สังเกตเห็นเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้
แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ นอกจากเสียงแมลงกรีดปีกยามราตรีและเสียงใบไม้ร่วงแล้ว ก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก
อ้อ จริงด้วย
ยังมีเสียงร้องครวญครางแผ่วเบาดังให้ได้ยิน
เสียงนั้นทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ คล้ายกับว่าเจ้าของเสียงต้องการสะกดกั้นบางสิ่งบางอย่าง ทว่าการทำเช่นนั้นกลับยิ่งทำให้ฟังดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
จ้าวอู่เจียงเหลียวมองกลับไปและพบกับแม่ชีร่างสูงผู้นอนอยู่บนเตียง นางกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาพร่ามัว แต่ในความพร่ามัวก็ยังปรากฏสติหลงเหลืออยู่บ้าง ปากของนางเผยอขยับ คล้ายกับว่าต้องการจะพูดบางอย่าง
จ้าวอู่เจียงรีบเดินกลับเข้าไปในห้องพัก ต้องการจะตรวจชีพจรให้แก่แม่ชีนางนี้ แต่ทันใดนั้น ไม่ทราบเลยว่าอีกฝ่ายไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางต่อยเขาอย่างหนักหน่วง สองภูเขาขนาดมหึมาเด้งขึ้นลง พลันนางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“อย่ามายุ่งกับข้า!”
“ท่านเป็นอะไรไปหรือ?” จ้าวอู่เจียงไม่ได้ขุ่นเคือง เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งราคะที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวแม่ชีนางนี้อย่างชัดเจน มันเป็นรัศมีที่คล้ายคลึงกับตอนที่ซูฮัวอีถูกเล่นงานด้วยโอสถฤดูหนาว เพียงแต่แม่ชีนางนี้ถูกเล่นงานด้วยคาถา
เมื่อเขาพูดจบ เว่ยชิงหลิงที่นอนอยู่ข้าง ๆ หยางเมียวเจิ้นก็ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาของนางแวววาวหยาดเยิ้ม และเริ่มหอบหายใจถี่เร็วด้วยเช่นกัน
เอ่อ… จ้าวอู่เจียงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า
“อาการของพวกท่านทั้งสองไม่ปกติอย่างยิ่ง”
“ชิงหลิง เร็วเข้า… รีบท่อง… รีบท่องบทสวดสำรวมจิต!” ดวงตาของหยางเมียวเจิ้นฉายแววร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้นางรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งความคิดดำเนินไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความสับสนมากขึ้นเท่านั้น และนางก็กำลังเป็นห่วงศิษย์น้องมากที่สุดด้วย
“สวรรค์… ดวงดารา สรรพสิ่งไม่เคยหยุดนิ่ง ขอพลังสะกดอำนาจปีศาจชั่วร้าย ปกป้องจิตใจและร่างกายของข้าพเจ้าด้วยเถิด!” เว่ยชิงหลิงร่างกายสั่นเทา มือฉีกกระชากชุดนอนบางเบาของตนเองออกโดยไม่รู้ตัวขณะท่องบทสวดออกมา
ระดับพลังของนางไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่หยางเมียวเจิ้น และนางก็ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักศรัทธาราษฎร ดังนั้นจึงยากที่จะท่องบทสวดของสำนักศรัทธาราษฎรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เว่ยชิงหลิงทำได้เพียงท่องบทสวดต่อไปให้ชัดเจนมากที่สุด
“สติแจ่มใส จิตใจ… สงบสุข สามจิตเป็นอนันต์! ไร้การสูญสิ้นวิญญาณ! สงบจิตสำรวมใจ!”
เมื่อท่องบทสวดสำรวมจิตออกมาจนจบแล้ว ทว่าก็ยังไม่ได้ผล เว่ยชิงหลิงฉีกกระชากชุดนอนขาดวิ่น เปิดเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ควรซ่อนเร้น
จ้าวอู่เจียงไม่ได้มีเจตนาแอบดูสิ่งใดทั้งสิ้น เขาพูดอย่างเยือกเย็น
“ท่านยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่? ดูเหมือนแม่ชีน้อยจะไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว…”
“ท่านฟังให้ดี…”ดวงตาของหยางเมียวเจิ้นฉ่ำเยิ้มร้อนแรง นางเองก็ยังต้องพยายามสะกดไฟราคะด้วยเช่นกัน ทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดทรมานไปทั่วร่างกาย อำนาจแห่งไฟราคะยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ แต่ในยามที่ต้องการจะใช้พลังของตนเอง ร่างกายของหยางเมียวเจิ้นกลับไม่พร้อมสำหรับการใช้งานเสียอย่างนั้น
หลี่เซวียนใช้คาถาเฉพาะตัวปลุกไฟราคะของนางให้ลุกโชน และเขาก็คงวางยาทำให้นางไม่สามารถใช้ลมปราณได้ชั่วคราว แม้จ้าวอู่เจียงจะคลายจุดให้แล้ว แต่ร่างกายก็ยังปรับตัวได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นหยางเมียวเจิ้นจึงไม่สามารถต้านทานไฟราคะได้อีก บัดนี้นางกำลังจะตกเป็นทาสของมัน
เว้นแต่จะมีใครสักคนช่วยปลดปล่อยและทำให้นางได้เข้าใจถึงรสสวาท คำว่าราคะที่แท้จริง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น หยางเมียวเจิ้นจึงจะไม่ถูกไฟราคะแผดเผาจนตาย
จ้าวอู่เจียงโน้มตัวเข้าไปใกล้ แม้แม่ชีร่างสูงผู้นี้จะมีหน้าตางดงามและทรงเสน่ห์ แต่เขาก็ไม่คิดฉวยโอกาสจากผู้ที่กำลังตกอยู่ในอันตราย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เขามีความเคารพศรัทธาจากใจจริง
จ้าวอู่เจียงหยุดชะงัก พยายามรักษาระยะห่าง พร้อมถามด้วยเสียงสุขุม “ท่านว่ามาเถอะ”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า