บทที่ 332 ชีวิตและความตาย ชื่อเสียงและเงินทอง (2)
นักพรตชราทำงานหนักและมักจะสอนวิชาเต๋าให้เป่ยจิ้งเฉิงได้เรียนรู้อยู่เสมอ
น่าเสียดายที่นักพรตท่านนี้มีความรู้เกี่ยวกับวิชาเต๋าเพียงน้อยนิด
กระนั้นนักพรตชราก็สั่งสอนให้เป่ยจิ้งเฉิงคอยทำดีต่อคนอื่น ๆ แม้ว่าจะถูกเจ้าสำนักข่มเหงรังแก ว่าร้ายอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เหตุผลว่านักพรตยอมก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก ก็ด้วยต้องการจะปิดปาก ห้ามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในสำนัก
กระทั่งภายหลัง เป่ยจิ้งเฉิงก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในสำนักพรตแห่งนี้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ แคว้นต้าเซี่ยตกอยู่ในความโกลาหล
ชาวบ้านวิ่งหนีแตกตื่นด้วยความตระหนกตกใจ โจรร้ายออกอาละวาด ท่านเจ้าสำนักเห็นว่าต้องออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน เขาจึงนำลูกศิษย์ทุกคนในสำนักเดินทาง แต่ไปได้ยังไม่ถึงหนึ่งลี้ ท่านเจ้าสำนักก็ถูกโจรปล้นม้าฆ่าตาย เลือดสีแดงสาดกระจายเต็มที่เกิดเหตุ ช่างน่าสลดและสยดสยองนัก
นั่นทำให้สมาชิกในสำนักที่เหลือต้องแยกย้ายกันหลบหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
บางคนขึ้นเหนือ บางคนลงใต้ บ้างหนีไปทางตะวันออก บ้างหนีไปทางตะวันตก หลายคนถึงกับต้องเปลี่ยนศาสนา โกนผมเข้าสู่ศาสนาพุทธกลายเป็นพระสงฆ์ ทำทุกสิ่งเพียงขอให้มีที่หลบภัย
แต่ส่วนใหญ่ผู้ได้รับที่พักพิงมักจะเป็นคนพอมีเงินทองติดตัวบ้างเล็กน้อย ส่วนสมาชิกในสำนักที่มีฐานะยากจน พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ค้างคืนเพียงชั่วคราวเท่านั้น และวันรุ่งขึ้นก็ต้องออกเดินทางหาที่พักพิงแห่งใหม่
เป่ยจิ้งเฉิงไม่มีทางเลือกนอกจากออกเดินทางหาที่พักพิงพร้อมกับนักพรตชราไปเรื่อย ๆ เขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงสักเท่าไรนัก ส่วนใหญ่พวกเขาจะเข้าไปพักอยู่ตามอารามร้างที่พอหลบฝนได้เท่านั้น และขอแค่มีน้ำแกงร้อน ๆ ให้รับประทานบ้างก็เพียงพอ หรือต่อให้เป็นอาหารเย็นชืดก็ไม่มีปัญหา แค่รับประทานให้อิ่มท้องได้ก็พอใจแล้ว
ทว่าหลังจากนั้น ระหว่างการเดินทางเพื่อหาที่พักพิงแห่งใหม่ พวกเขาก็เจอกับโจรปล้นม้า โจรปล้นม้ากวัดแกว่งคมดาบและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
นักพรตชราใช้ร่างกายอันผอมแห้งปกป้องเป่ยจิ้งเฉิง ทั้งยังถ่วงเวลาให้เขาได้หลบหนี และนักพรตชราก็ต้องจบชีวิตลงภายใต้คมดาบที่กระหน่ำแทงเข้าสู่ร่างอย่างน่าสังเวช
กระนั้นในช่วงขณะที่เป่ยจิ้งเฉิงเข้าใจว่าตัวเขาคงต้องตกตายตามนักพรตชราไปเป็นแน่ แผ่นยันต์สีเหลืองก็ปลิวว่อนมาในอากาศ พร้อมกันนั้นกระบี่ไม้ถูกซัดพุ่งออกมา นักพรตนับสิบคนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมของลัทธิเต๋าปรากฏกายขึ้น และทำการสังหารโจรปล้นม้าเหล่านั้นจนหมดสิ้น
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ เป่ยจิ้งเฉิงก็รู้แล้วว่ากลุ่มนักพรตสังเกตเห็นพวกเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่คิดลงมือช่วยเหลือ
เป่ยจิ้งเฉิงได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ แต่กลับต้องมาโอบกอดซากศพของนักพรตชรา ปากของเขาได้แต่ร้องถามว่าเพราะเหตุใด…
กลุ่มนักพรตเหล่านั้นบอกว่าเขามีคุณสมบัติที่จะฝึกฝนวิชาเต๋า ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือเป่ยจิ้งเฉิง แต่นักพรตชราอายุมากแล้ว อีกทั้งยังอ่อนแอไร้ความสามารถ จึงไม่มีประโยชน์ให้สอดมือเข้าช่วยในตอนแรก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องรอให้โจรปล้นม้าฆ่านักพรตชราให้ตายเสียก่อน ด้วยจะได้มีข้ออ้างในการฆ่าโจรปล้นม้าเหล่านั้น นี่เรียกว่าเป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้บริสุทธิ์ และยังเป็นการเพิ่มพูนคุณธรรมในจิตใจให้แก่พวกเขาด้วย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า