บทที่ 5 ทุกอย่างเกิดขึ้นในความมืด
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในราชสำนักหรือกองทัพ เซวียนหยวนจิ้งพบว่าไม่มีใครพอจะไว้ใจให้รับฟังเรื่องของนางได้เลย
ทว่า…ในค่ำคืนอันยาวนานนี้ มีขันทีปลอมผู้หนึ่งรู้ความลับของนาง แต่กลับไร้ความหวั่นเกรง
“จ้าวอู่เจียง ข้าควรทำอย่างไรดี?”
ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ จะมาถามข้าทำไมเนี่ย?… จ้าวอู่เจียงได้แต่คิดอยู่ในใจ ส่วนปากตอบออกไปว่า “ฝ่าบาทอยากนวดไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“นวดหรือ?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ การนวดจะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น”
“ข้าเหนื่อยมากแล้ว เจ้ามาลองดูก็ได้”
จ้าวอู่เจียงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “แต่กระหม่อมคิดค่านวดแพงมาก เรามาตกลงกันให้ชัดเจนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทองคำหนึ่งร้อยตำลึงต่อการนวดครึ่งชั่วยาม*[1]พระองค์ตกลงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นหนึ่งถ้วยชา
“อืม จ้าวอู่เจียง เบามือหน่อย”
เซวียนหยวนจิ้งเอนตัวพิงเก้าอี้ การนวดคลึงของจ้าวอู่เจียงทำให้นางส่งเสียงครางในลำคอออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความอ่อนล้าในร่างกายก็พลันจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เซวียนหยวนจิ้งพยายามตั้งสติเต็มที่ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของพวกโหลวหลานตอนอยู่กับฮองเฮาใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอู่เจียงตอบอย่างรวบรัด นิ้วมือนวดคลึงไปตามลำคอขาวระหงของเซวียนหยวนจิ้ง สายตาจับจ้องใบหน้าอันหล่อเหลา ซึ่งปกปิดความงดงามเอาไว้ได้ไม่มิดชิดสักเท่าไหร่
ไม่ทราบเลยว่าฮ่องเต้หญิงผู้นี้ต้องผ่านมรสุมมากี่ลูกตลอดการครอบครองบัลลังก์ที่ผ่านมา
“จ้าวอู่เจียง เจ้าคงเคยชินกับการที่ฮ่องเต้ของเจ้าเป็นบุรุษ แต่ว่า…”
เซวียนหยวนจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามแต่กลับอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
“ตระกูลเซวียนหยวนเป็นผู้ปกครองแคว้นต้าเซี่ยที่แท้จริง ถึงแม้ว่าตระกูลตู๋กูจะเป็นผู้ก่อตั้ง แต่พวกเขาก็เป็นแค่ขุนนางเท่านั้น เจ้าเองมีสถานะเป็นประชาชนของแคว้นต้าเซี่ย เจ้าต้องซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้ เจ้าต้องภักดีต่อข้า ไม่ใช่ซื่อสัตย์ต่อพวกขุนนาง เข้าใจหรือไม่?”
เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่เข้าใจกระหม่อมก็คงต้องหางานใหม่ทำ… จ้าวอู่เจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าพระองค์ไม่ฆ่ากระหม่อม กระหม่อมก็จะเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนจิ้งลืมตาขึ้นมา จ้องมองจ้าวอู่เจียงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนว่าตอนนี้จ้าวอู่เจียงกำลังข่มขู่นางอยู่
“เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน!”
“กระหม่อมสามารถกระโดดออกจากเรือและว่ายน้ำเองได้ พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอู่เจียงจ้องมองกลับด้วยแววตาใสซื่อ
เซวียนหยวนจิ้งกัดฟันกรอด นึกอยากฆ่าจ้าวอู่เจียงขึ้นมาจริง ๆ ในทันใด
นางสูดลมหายใจลึก
“เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้ารู้ว่าตระกูลเซวียนหยวนไม่มีพวกพ้อง โชคดีที่สวรรค์เมตตาเจ้า เจ้าคงเข้าใจสินะว่าตนเองกำลังอยู่ในเรือลำใด ข้าสามารถบอกได้เลยว่าฮองเฮาเชื่อใจเจ้ามาก นับจากนี้ไป เจ้าจะมีหน้าที่คอยหลอกถามความลับจากฮองเฮาตามคำสั่งของข้า และเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธโดยเด็ดขาด”
เฮ้อ… พวกสตรีที่มีอำนาจนี่ชอบข่มขู่ผู้คนเหมือนกันหมดเลยสินะ
จ้าวอู่เจียงยังคงทำการนวดต่อไปพลางส่ายศีรษะ “กระหม่อมทำไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นแค่ข้ารับใช้ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น”
“ในเมื่อเจ้ารู้จักกู่พิษชนิดนั้น เจ้าก็คงรู้วิธีใช้งานมันใช่หรือไม่?”
“กระหม่อมไม่รู้หรอกพ่ะย่ะค่ะ กู่พวกนั้นเป็นอาวุธของพวกหมอผี ส่วนกระหม่อมเป็นหมอยา พวกเรามีแนวทางแตกต่างกัน อีกอย่าง กระหม่อมก็ไม่ได้มาจากโหลวหลานด้วย” จ้าวอู่เจียงนิ่งคิด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เมื่อใดก็ตามที่คนเราไม่รู้สติ หรือกำลังมีความสุขมากจนเกินไป ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหลุดปากพูดความจริงออกมาโดยไม่รู้ตัว และฝ่าบาทก็สามารถอาศัยจังหวะนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เสมอ”
“ไม่รู้สติ? มีความสุขมากเกินไป?” เซวียนหยวนจิ้งขมวดคิ้วด้วยความพิศวง ดวงตางดงามเป็นประกายระยิบระยับ
“อย่างเช่น หลังจากคนเราดื่มสุราจนเมามาย ความสุขก็จะอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหลุดพูดความลับออกมา หรืออีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สามีที่ได้รับการเลื่อนขั้นและเงินรางวัลมากมาย ก็มักจะหลุดปากพูดความลับออกมาได้อย่างง่ายดายในขณะที่กำลังมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอู่เจียงพูดออกมาช้า ๆ
เซวียนหยวนจิ้งแสดงความคิดเห็นออกมาว่า “งั้นเราก็ต้องหาโอกาสทำให้ฮองเฮามีความสุขให้ได้”
ในเวลาเดียวกันนี้
เสียงของนางกำนัลผู้หนึ่งดังขึ้นหน้าประตูห้องว่า
“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
นางจะมาที่นี่ทำไมอีกเนี่ย? เซวียนหยวนจิ้งรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด ท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“ตู๋กูหมิงเยว่คงไม่ได้มาเพื่อจะขึ้นเตียงกับข้าหรอกกระมัง?”
“ไม่มีทาง? นางจะรออีกนิดไม่ได้หรืออย่างไร?”
ฮ่องเต้หญิงหันมาหาจ้าวอู่เจียง “เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน!”
“เร็วเกินไป… ขอกระหม่อมเตรียมใจก่อนสิพ่ะย่ะค่ะ…”
จ้าวอู่เจียงยังคงลังเล
ได้ยินเสียงเป่าลมแผ่วเบา เซวียนหยวนจิ้งดับเทียนไข ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด
ดวงตาของเซวียนหยวนจิ้งเป็นประกายระยิบระยับ
“เข้ามาได้”
ประตูถูกผลักเปิดออก ตู๋กูหมิงเยว่เดินเข้ามาด้วยความสง่างาม นางสวมใส่เสื้อคลุมบางเบา เวลาเยื้องย่างผ่านความมืดมิดเข้ามา เรือนร่างของนางยิ่งดูเย้ายวนใจมากขึ้น ส่งกลิ่นกายหอมฟุ้งตลบอบอวลทั่วในอากาศ นางมองไม่เห็นสิ่งใด ได้แต่พูดออกไปว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมาแล้วเพคะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”
เซวียนหยวนจิ้งเดินไปปิดประตูด้วยตนเอง ก่อนจะปลดผ้าไหมพันคอออกมา ผูกปิดรอบดวงตาของตู๋กูหมิงเยว่ โดยไม่ลืมผูกเป็นปมแน่นด้านหลังศีรษะของนาง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า