บทที่ 52 เผชิญหน้าการไต่สวน
จ้าวอู่เจียงรู้สึกโชคดีจริง ๆ เขาถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกล่าวด้วยความเยือกเย็น
“เอ้อร์ซาน รีบไปนำศพของหวังอวี้ข่ายมาที่นี่ เร็วเข้า!”
…
เมื่อมีคำสั่งเรียกตัวจ้าวอู่เจียง เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในท้องพระโรงก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับการแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ไปคุมอำนาจแดนเหนือ ความผิดฐานยักยอกสมุนไพรหลวงของจ้าวอู่เจียง ก็มีความน่าสนใจมากกว่าหลายเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตู๋กูเทียนชิงได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนเหนือ คือสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้อยู่แล้ว เนื่องจากตู๋กูเทียนชิงมีตระกูลตู๋กูคอยหนุนหลัง ขุนนางทุกคนต่างรู้ตัวดีว่าไม่สามารถล่วงเกินได้
แต่สำหรับจ้าวอู่เจียงนั้นต่างออกไป เขาเป็นแค่ขันทีน้อยไร้หัวนอนปลายเท้า ซ้ำยังสร้างศัตรูไปทั่ว หากถูกประหารชีวิตจะมีผู้ใดสนใจ?
บรรดาขุนนางพร้อมใจกันตำหนิการกระทำของจ้าวอู่เจียง ยิ่งฮ่องเต้ได้ยินมากเท่าไหร่ ในใจก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากเท่านั้น
และนอกจากฮ่องเต้ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรจะไม่สบอารมณ์แล้ว อีกหนึ่งคนที่เดือดดาลไม่แพ้กันก็คือ ตู๋กูอี้เหอ
เพราะในสายตาของชายชรา จ้าวอู่เจียงนอกจากจะมีประโยชน์ให้ใช้งานอย่างใหญ่หลวงแล้ว อีกฝ่ายยังช่วยผลักดันบุตรชายของตนให้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแดนเหนือด้วย บัดนี้ เฉินอันปังกลับนำเรื่องการยักยอกสมุนไพรหลวงมาฟ้องร้องต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ ในความคิดเห็นของตู๋กูอี้เหอ นี่คงจะเป็นการกลั่นแกล้งกันเสียมากกว่า
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลพ่ะย่ะค่ะ!”
ตู๋กูอี้เหอสะบัดแขนเสื้อ และลุกขึ้นยืน
“โรงหมอหลวงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จ้าวอู่เจียงจะเข้าไปขโมยสมุนไพรหลวงได้อย่างไร? หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่าการคุ้มกันโรงหลอหลวงหละหลวมยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
คราแรกเมื่อเห็นว่ามีคนกล้าออกหน้าแทนจ้าวอู่เจียง ขุนนางบางส่วนก็กำลังจะโต้ตอบกลับไปด้วยความคึกคะนอง แต่เมื่อเห็นว่าบุคคลผู้นั้นคือตู๋กูอี้เหอผู้เป็นประมุขตระกูลตู๋กู พวกเขาก็เงียบเสียงลง และทำได้เพียงแต่แอบด่าอยู่ในใจเท่านั้น
ตระกูลตู๋กูมีอำนาจมากเกินไป หากพวกเขาไม่ดูให้ดี เผลอล่วงเกินประมุขตระกูลตู๋กูเพียงเพราะขันทีผู้หนึ่ง พวกเขาก็คงโง่เขลาจนเกินเยียวยาแล้ว
เฉินอันปังรู้สึกโมโหจนหนวดกระดิก
“ท่านพี่คิดว่าข้าใส่ร้ายจ้าวอู่เจียงอย่างนั้นหรือ เฮอะ! ก็แค่ขันทีต่ำต้อยผู้หนึ่ง เหตุใดเสนาบดีกรมกลาโหมอย่างข้าจึงต้องลดตัวไปใส่ร้ายมันด้วย?”
“เพราะว่าคนที่ใส่ร้ายข้ามันโง่เขลายิ่งกว่าลาอย่างไรเล่า!”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องอย่างกะทันหัน ทำให้ท่านเสนาบดีกรมกลาโหมรู้สึกไม่พอใจ เขาหันขวับกลับไปมองตามทิศทางของเสียงหัวเราะ แล้วก็เห็นเงาร่างงามสง่าปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูท้องพระโรง คนผู้นั้นจะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่ จ้าวอู่เจียง
ชายหนุ่มมีแววตาเฉียบคมไม่ต่างจากคมกระบี่ เขาเยื้องย่างเข้ามาในท้องพระโรงช้า ๆ พร้อมกับลากศพหนึ่งเข้ามาด้วย
คณะเสนาบดีกำลังจะเปิดปากวิพากษ์วิจารณ์ขันทีหนุ่ม แต่เมื่อพวกเขาเห็นศพที่อีกฝ่ายลากมาด้วย ทุกคนก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ และเลือกที่จะนิ่งเงียบไว้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า