บทที่ 62 ไม่ชนะก็ต้องพ่ายแพ้
“ที่แห่งนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจวนตระกูลตู๋กูเลย…” จ้าวอู่เจียงชมเชยออกมา หลังได้เห็นจวนซิงชิงหยวน
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เจี๋ยเอ้อร์ซานตอบรับ พลางอธิบายเหตุ
“เซียวเหยาอ๋องเป็นผู้ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงโปรดปรานมาก ข้าน้อยเคยได้ยินข่าวลือว่า พระองค์ทรงวางแผนจะส่งมอบบัลลังก์ให้แก่เซียวเหยาอ๋อง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เรื่องนี้จึงถูกปัดตกไปขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
จ้าวอู่เจียงถามด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเซียวเหยาอ๋องอยู่ไม่น้อย มิฉะนั้น คงไม่คิดวางแผนส่งมอบบัลลังก์ให้อย่างแน่นอน
“เรื่องมันก็นานมากแล้วขอรับ…”
เจี๋ยเอ้อร์ซานมีดวงตาเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“เซียวเหยาอ๋องเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มากความสามารถ ปราดเปรื่องในเรื่องวรรณกรรม ปรัชญา และพิชัยสงคราม แต่พระองค์รักอิสระมากเกินไป จึงไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองแม้แต่นิดเดียว เซียวเหยาอ๋องชื่นชอบการออกท่องเที่ยว ดื่มชา เล่นพิณ และเดินหมากรุกมากกว่าขอรับ”
“ทำแบบนั้นก็ดีแล้ว พระองค์จะได้ไม่ต้องมาตกอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง”
จ้าวอู่เจียงถอนหายใจ ก่อนจะเดินสำรวจภายในจวนถึงสามรอบ เพื่อจดจำโครงสร้างทั้งหมด
…
รถม้าสองคันวิ่งมาจอดลงตรงหน้าประตูจวนซิงชิงหยวนอย่างรวดเร็ว คันหนึ่งเป็นรถม้าลักษณะธรรมดาเรียบง่าย และอีกคันหนึ่งมีลักษณะหรูหราอยู่ไม่น้อย
ม่านรถม้ามาค่อย ๆ ถูกเลิกขึ้น ปรากฏร่างชายชราผมขาวผู้มีสง่าราศี พร้อมด้วยชายหนุ่มอีกคนในชุดขาว ก้าวเดินลงมาจากรถม้า คันที่มีลักษณะธรรมดาเรียงง่าย
ส่วนรถม้าอีกคันที่มีลักษณะหรูหรา ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินพร้อมด้วยชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีเทาก้าวเดินลงมา
ชายชราและชายหนุ่มในชุดขาวจากรถม้าธรรมดา ย่อมต้องเป็นราชเลขาฝ่ายขวาหลิวเจ๋อกับหลิวเฟิงหลานชายสุดที่รักของเขา พวกเขามาที่นี่เพื่อขอโทษจ้าวอู่เจียง ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินและชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีเทาก็คือหลิ่วหมางกับหลิ่วว่านซาน พวกเขามาที่นี่เพื่อใช้หนี้ให้แก่ขันทีหนุ่ม
เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน พวกเขาก็จ้องมองกันด้วยสายตาวาวโรจน์ และพยายามคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดกันแน่
ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนจ้องมองกันด้วยสายตาดูแคลน
ขุนนางกรมคลังหลิ่วว่านซานก็หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกว่าชายชราผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาชอบกล แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยพบเห็นที่ไหน เขาจึงไม่รีบให้หลานชายเข้าไปภายในจวน เพราะไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าพวกตนมาที่นี่เพราะเหตุอันใด
อีกทั้งการนำเงินมาใช้หนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรป่าวประกาศอยู่แล้ว
ราชเลขาฝ่ายขวาหลิวเจ๋อจ้องมองชายวัยกลางคนผู้สวมเสื้อคลุมสีเทา ก่อนจะรำพึงรำพันในใจ เขารับราชการมาหลายสิบปี ทั้งยังดำรงตำแหน่งราชเลขาลำดับสอง คนธรรมดาล้วนต้องก้มหัวให้ตน แต่คนตรงหน้ากลับนิ่งเฉยเสียนี่
ครั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายสวมเครื่องแบบของกรมคลัง ราชเลขาหลิวก็ไม่ต้องการจะให้พวกหลิ่วว่านซานรู้เช่นกันว่า ตนพาหลานชายมาเพื่อขอโทษจ้าวอู่เจียง แม้ว่าคนที่ขอโทษจะเป็นหลานชายอย่างหลิวเฟิงก็ตาม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทา และทำให้ชายชรากลายเป็นตัวตลกในวังหลวงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนคุมเชิงกันสร้างบรรยากาศชวนน่าอึดอัดใจขึ้นมา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละขันทีอันดับหนึ่งในใต้หล้า