“ผมมีสติดี แล้วก็จริงจังมากด้วย ที่พูดไปก็เป็นเรื่องจริงทุกประโยค”
“คุณไม่เข้าใจเหตุการณ์เลยสักนิด! อย่าลืมไปซะละว่าระหว่างเราหย่ากันเพราะเหตุผลอะไร ชายคนหนึ่งบอกกับภรรยาของตัวเองว่ารู้สึกดีกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุณรู้ไหมว่าคำพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง? ”
นาโนยังคงยิ้มเจื่อนๆ
“รู้สึกดีก็หมายถึงว่าในใจของคุณเคยคิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหญิงอื่นคนนั้น หลังจากหย่ากัน ก็มาบอกกับภรรยาเก่าว่าจะเริ่มต้นใหม่ คุณอยู่ในฐานะอะไรเหรอที่พูดแบบนี้? ”
“หรือว่าคุณสามารถลบล้างความเจ็บปวดและช่องว่างพวกนั้นได้หมดกันล่ะ? คุณต้องหัดรู้ไว้ซะบ้างนะ ในใจของเธอมีหนามเล่มหนึ่งฝังเอาไว้อยู่ตลอด ดึงไม่ออกหรอก เข้าใจไหม? ”
ดนัยมองท่าทีของเธอ ภายในปากรู้สึกเพียงขมขื่น “ผมมั่นใจ ผมต้องมีวิธีแน่!”
“นั่นเพราะประธานดนัยสำคัญตัวเองมากเกินไปค่ะ แล้วก็คิดเองเออเองเก่งด้วย ฉันจะไม่มีทางให้อภัยผู้ชายที่เคยหักหลังฉันมาก่อนหรอกนะคะ หนามเล่มนั้นก็ยังคงฝังอยู่ภายในใจ คุณเข้าใจใช่ไหม? ”
ดนัยเผชิญกับการต่อต้านแบบนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกไร้ความสามารถ ไม่รู้ว่าต้องทำยังให้เหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้เปลี่ยนไป
“ไม่มีวิธีที่จะเอาหนามเล่มนั้นออกมาได้เลยเหรอ? ” ผ่านไปนาน เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“วิธี? ” เมื่อได้ยินที่เอ่ยออกมา มุมปากของนาโนก็ยกยิ้มที่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเย้ยหยัน “ครั้งนี้หนามมันฝังลึกอยู่ในก้อนเนื้อไปแล้ว จะเอามันออกมาได้ยังไงล่ะคะ? ”
จ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง แววตาของดนัยแฝงไปด้วยความปรารถนาที่รุนแรงและเร่าร้อน
“ไม่ต้องใช้สายตาแบบนั้นมองฉัน ในช่วงแรกที่คุณกำลังตั้งคำถามกับการแต่งงานและความรู้สึกในตอนนั้น ก็หมายถึงกำลังปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างเรา ภายในใจของคุณมันเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่คู่ควรกับคุณ”
“คุณมีผู้หญิงอีกคนที่คู่ควรกับคุณ ฉันนาโนเป็นคนรักและเคารพในตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าไม่อาย คุณอยากให้ฉันปล่อยคุณเป็นอิสระ ย่อมได้ ไม่มีปัญหา….”
เธอพูดต่อ “แต่คุณควรที่จะรู้เอาไว้ให้ดี ในวินาทีนั้นที่ฉันตอบตกลงให้อิสระกับคุณไป ฉันก็เลือกที่จะปล่อยวางเรื่องบางเรื่องแล้วเหมือนกัน คนของคุณ ใจของคุณ ความรู้สึกทั้งหมดของคุณ ตอนนี้คุณในสายตาฉันแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับลมตด!”
“ไม่สิ ลมตดยังเหลือกลิ่น แต่คุณสำหรับฉันแล้วก็เทียบมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ การมีตัวตนอยู่สักนิดก็ยิ่งไม่มี ฉันอธิบายซะชัดเจนขนาดนี้แล้ว เข้าใจแล้วใช่ไหม? ”
ดนัยยิ่งรู้สึกขมขื่นมากขึ้น แต่ก็ยังเอ่ยปากพูดว่า “นาโน เจ้าตัวเล็กยังอยู่นี่นะ คำพูดหยาบคายพวกนั้นจะพูดต่อหน้าเขาไม่ได้ มันจะส่งผลเสียต่อเขา”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ทีกับฉัน ตอนนี้ฉันกำลังพูดเรื่องระหว่างเรากับคุณอยู่ คังซียังเด็ก เขาไม่เข้าใจหรอกว่าคำพูดพวกนี้มันหมายถึงอะไร เพราะฉะนั้นอย่ามาใช้วิธีการแบบนี้มาสั่งสอนฉัน แล้วก็เปลี่ยนเรื่องด้วย!” นาโนไม่ติดเบ็ดเขาสักนิด “ตอนนี้ออกไปได้แล้วใช่ไหมคะ หืม? ”
ดูเวลาแว็บหนึ่ง เป็นไปตามคาดตอนนี้ไม่เช้าแล้ว คิดไปคิดมา ดนัยก็พูดขึ้นอีกว่า “กินข้าวเที่ยงด้วยกันสิ”
“ไม่มีเวลา ไม่มีอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนอย่างคุณ ยิ่งไม่มีเลยสักนิด ไปเถอะ” เธอเชิญออกอย่างตรงไปตรงมา
“ผมจะไม่ยอมแพ้แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือคังซี ผมก็จะไม่ยอมแพ้” ดนัยซีเรียสขึ้นมา น้ำเสียงก็จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณอยากจะยอมแพ้หรือไม่มันก็เป็นเรื่องของคุณ ฉันไม่เคยคิดจะถาม แต่ตอนนี้ฉันอยากจะบอกคุณสักสองประโยค ประโยคแรกคือ ถ้าคนรู้สึกหนาว ก็หาที่อุ่นๆ คลายหนาวได้ แต่ถ้าใจมันแข็งไปแล้ว มันกลับยากที่จะคลายลงมา”
“ประโยคที่สอง โลกของคนสองคน ไม่กลัวจะทะเลาะกัน แต่กลัวจะเย็นชาใส่กัน ถ้าคนหนึ่งเย็นชา ใจทั้งสองดวงก็จะเย็นยะเยือกตามไปด้วย ครั้งนี้คงจะฟังเข้าใจแล้วนะคะ? ”
“ฉันจะเตือนคุณอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งสุดท้าย อย่าให้ฉันต้องรังเกียจและหงุดหงิดคุณ!”
ดนัยที่ยืนอยู่ตรงนั้น เม้มริมฝีปาก ยิ่งรู้สึกแห้งพรากมากขึ้น ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
นาโนทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน อุ้มคังซี แล้วก็ชงนมผงให้เขา ป้อมเขาดื่ม
ดนัยก็ไม่ได้ยื่นนิ่งอีกต่อไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง