คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 21

ชายสองคนเมื่อลุกขึ้นได้ก็วิ่งไล่ตามไปติด ๆ ด้วยความที่ฝึกฝนวรยุท์และวิชาตัวเบามาทำให้การเคลื่อนไหวรวดเร็วผิดกับสตรีนางนี่ที่ยังรวดเร็วไม่พอไม่นานทั้งสองก็ตามจนทัน

“จะหนีไปไหน...” ชายคนหนึ่งเอ่ยพร้อมชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อข่มขู่สตรีหน้าดำ มันไม่คิดจะเข่นฆ่ายามนี้เพราะคุณหนูสั่งจับเป็นเท่านั้น

“อย่าเข้ามานะข้าขอเตือน” เย่วซินเอ่ยบอกเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ให้ตายเถอะนางแค่จะออกมาหาของอร่อย ๆ กินแค่นั้นเอง ชักจะเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“พรึ่บ...”เย่วซินสะบัดผงยาสลบใส่บุรุษทั้งสองคนอย่างไม่เสียดายของเพราะมีเยอะมาก คนร้ายทั้งสองไม่อาจรอดพ้นจากการสูดดม เพราะพวกมันไม่ทันได้ตั้งตัวจึงสูดดมเข้าไปถึงจะไม่มากหากได้สูดเอาผงยาสลบเข้าปอดก็แน่นิ่งทันทีเพราะมันมีฤทธิ์รุนแรงแค่นี้คงได้นอนไปสองวันกระมัง

“แปะ ๆ ๆ...” เสียงตบมือดังขึ้นด้านหลังทำให้เย่วซินรีบหันหลังไปมองทันที พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นบุรุษตรงหน้า แม้ว่าจะไม่พบกันมานานหลายปีแต่ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมที่เคยมีมาชายตรงหน้ายังคงมีเค้าหน้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสูงแลดูโตเป็นหนุ่มรูปงามกว่าตอนเด็กมาก เย่วซินมองหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาปลาบปลื้มเหมือนมารดาเฝ้ามองบุตรเติบใหญ่มาอย่างสง่างามและดีใจที่ได้พบคนที่คิดถึงที่สุดจนเผลอยิ้มออกมา

“เจ้ารู้จักข้าหรือ?” เย่วฉีเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสตรีหน้าดำมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับรู้จักกันมานานและยังยิ้มมาให้เขาอีก แต่จะว่าไปดวงตาของนางช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก

เย่วซินหุบยิ้มทันทีและความน้อยใจเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว อาฉีหายหน้าไปหลายปีแม้กระทั่งวันงานปักปิ่นก็ไม่ยอมกลับมา นางน้อยใจ เสียใจและโกรธคนตรงหน้าอย่างมากเย่วซินพยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ ไม่ให้เผลอปากบอกว่าตัวเองคือใครตอนนี้ตัวร้ายกับตัวดีตีกันยุ่งอยู่ในความคิดตัวเอง

“เปล่า...ข้าไม่รู้จัก...ขอตัว” เย่วซินหันหลังกลับไปทางโรงเตี๊ยมที่นางพักอยู่

“เดี๋ยวสิ...ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำอะไรกับบุตรีท่านแม่ทัพซูข้าเห็นนะว่าเจ้าแอบหยิบบางอย่างออกมาจากเท้านั่นแล้วป้ายไปที่มือของนาง” เย่วฉีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนไม่ทันสังเกตสตรีหน้าดำที่ดวงตาไหววูบมีแววตัดพ้อตนเองอยู่

“ท่านอยากรู้หรือ?” เย่วซินเอ่ยถามดวงตาเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ทันที

“ใช่ข้าอยากรู้” เย่วฉีตอบทันที เขาชอบศึกษาสมุนไพรปรุงยาและรักษาผู้คนโดยเฉพาะโรคที่แปลกใหม่รักษายากเขายิ่งชอบนัก สตรีผู้นี้ดูทว่าแล้วนางคงมีความรู้เกี่ยวกับสมุรไพรเป็นแน่

“พรึ่บ...” เย่วซินสะบัดผงพิษหม่าล่าที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใส่ชายหนุ่มทันทีอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากรู้ก็ต้องรู้ หึ อะไรจะสู้ทดลองโดนด้วยตัวเองเล่า อาฉีหนออาฉีหายารักษาตัวเองแล้วกันคงไม่เกินมือเจ้าหรอกกระมัง เย่วซินคิดในใจ

“โอ๊ย...เจ้า...” เย่วฉีร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีเพราะผงสีขาวที่นางสะบัดใส่โดนผิวกายและใบหน้าทำให้ปวดแสบปวดร้อนทรมานยิ่งนัก

“ก็ท่านอยากรู้ข้าเลยสงเคราะห์ให้โชคดีนะ” เอ่ยจบเย่วซินก็เดินจากไปทันทีด้วยความสะใจที่ได้ลงมือลงไม้กับอาฉีบ้างเล็กน้อยเอาคืนที่เขาทำให้นางเสียใจและที่สำคัญคือเขาจำนางไม่ได้ อ่อ...ลืมไปนางทาหน้าดำอยู่แต่ไม่รู้ล่ะตอนนี้นางพาลไปหมดแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ใช้พิษตัวเดียวกันกับที่ใช้กับคุณหนูขี้แอ๊บนั่นถือว่าเห็นใจแล้ว...

“เย่วฉี!!...” เหล่าชายหนุ่มที่เดินตามมาเมื่อเห็นเย่วฉีหน้าแดงและกระสับกระส่ายจึงรีบเร่งก้าวเท้าเข้ามาดู

“เจ้าเป็นอะไรใยถึงหน้าแดงเช่นนี้” จิ้นฝานเป็นคนเอ่ยถามพลางมองไปที่พื้นเห็นชายสองคนนอนหมดสติอยู่กับพื้น

“สตรีหน้าดำ ยายตัวแสบนางสะบัดผงบางอย่างใส่ข้าทำให้แสบร้อนเป็นอย่างมาก” เย่วฉีเอ่ยพร้อมล้วงเอายาชนิดเย็นออกมาทาเพื่อระงับอาการทันที

“แล้วบุรุษสองคนนั่นล่ะ” หยางปิงเอ่ยถามสหาย

“ก็ฝีมือนางอีกนั่นแหละ” เย่วฉีเอ่ยตอบ

“จะทำอย่างไรกับสองคนนั้นแหละ” หยางปิงเอ่ยถามต่อ

“ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละพวกมันเป็นคนของคุณหนูซูให้มาจับสตรีหน้าดำ” เย่วฉีเอ่ยพลางนึกถึงสตรีที่งดงามแล้วขนลุกชันขึ้นมาทันที

“นางไม่ธรรมดาจริง ๆ” จิ้นฝานเอ่ยพลางพยักหน้าเบา ๆ

“ใครหรือที่ว่าไม่ธรรมดา” หยางปิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

“ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ คุณหนูงดงามนั่นเบื้องหลังไม่งดงามเหมือนใบหน้าเลยจริง ๆ ดีนะที่สตรีหน้าดำเอาตัวรอดไปได้ไม่เช่นนั้นควงโดนเล่นงานหนักเป็นแน่” จื้นฝานเอ่ย

“ทีนี้รู้หรือยังว่าสตรีหน้าดำทำอะไรกับบุตรีท่านแม่ทัพ” หยางหลงเอ่ยถามสหายรุ่นน้อง

“โธ่...พี่หยางหลงท่านซ้ำเติมข้าหรือ?” เย่วฉีเอ่ย

“คราวหน้าก็จำเอาไว้อย่าอยากรุ้ให้มันมากนักดีแค่ไหนที่โดนเพียงเล็กน้อยไม่ร้ายแรงนัก” เย่วเทียนเอ่ยสอนน้องชายอีกแรง

“โธ่...พวกท่านข้าไม่กล้า ไม่กล้าแล้ว” เย่วฉีเอ่ยพร้อมก้มหน้ารับผิดอย่างจนมุม

ชายหนุ่มทั้งสี่ยกยิ้มอย่างชอบใจกับเย่วฉี บางครั้งก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งก็แลดูเหมือนเด็กน้อยไม่รู้จักโต เย่วฉีเคยเล่าว่าเขาเลี้ยงดูน้องสาวบุญธรรมมากับมือตั้งแต่นางยังแบเบาะสงสัยว่านางคงจะมีนิสัยคล้ายเย่วฉีกระมังหลังจากที่ฟังเขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับน้องสาวผู้นี้นับว่านางก็แสบไม่เบาเหมือนกัน

กลางยามอิ่ว(17.00-18.59)

“อ้าวอิงเอ๋อร์เจ้าออกไปไหนมาหรือ?” ฮุ่ยฉินนั่งดื่มชารออยู่ที่โต๊ะอาหารด้านล่างเมื่อเห็นหลานสาวหมาด ๆ เดินเข้ามาจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ท่านปู่...หลานออกไปหาของกินเล่นที่ตลาดมาเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลที่สุดเพื่อให้คล้ายกับจิวอิง เพราะท่านปู่เข้าใจผิดว่านางคือจิวอิงเลยอยากแกล้งเล่นตามน้ำไปสียหน่อย แต่ว่าท่านปู่จะจับผิดได้หรือไม่นะ

“เช่นนั้นหรือ? แล้วเจ้ามีเงินติดตัวหรือไม่ถ้าอยากได้อะไรก็บอกปู่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” ฮุ่ยฉินเอ่ยตนลืมให้เงินนางเอาไว้เพราะมัวแต่พูดคุยและยุ่งเรื่องที่ไปป่าทึบ

“ขอบคุณท่านปู่มากเจ้าค่ะแต่หลานพอมีเงินติดตัวมาบ้าง” เย่วซินเอ่ยพลางรู้สึกว่าตัวเองบาปนักที่หลอกลวงท่านปู่ไม่เอาไม่เอาดีกว่าคิดได้เช่นนั้นจึงสารภาพออกไป “ท่านปู่ท่านจำหลานสาวที่น่ารักน่าชังคนนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสเจ้าเล่ห์

ฮุ่ยฉินที่ได้ฟังน้ำเสียงเช่นนี้ก็พลันสะดุดกึก พลางพิจารณาหลานสาวตรงหน้า แววตาสดใสซุกซนและเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไม่ผิดแน่ “ซินเอ๋อร์?...”

“เจ้าค่ะหลานเอง” เย่วซินเอ่ยพร้อมนั่งลงด้านข้าง “ท่านปู่หลานไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงท่านปู่นะเจ้าคะ ที่หลานต้องปลอมตัวออกไปเช่นนี้เพราะต้องการหลีกเลี่ยงจากคนของคุณชายซูเพียงเท่านั้น แต่คราวหน้าท่านปู่ต้องสังเกตหลานให้ดีนะเจ้าคะต้องหาข้อแตกต่างให้ออกว่าหลานกับพี่สาวแตกต่างกันอย่างไร” ประโยคหลังพูดคล้ายน้อยใจท่านปู่ที่จำตนเองไม่ได้

“ก็ใครใช้ให้เจ้าแต่งตัวเช่นนี้กันเล่า เอาล่ะเจ้าไม้ต้องกังวลคราวหน้าปู่จะทักไม่ผิดคนแน่” ฮุ่ยฉินเอ่ยอย่างแน่วแน่ เขาจะต้องหาข้อแตกต่างทั้งสองคนให้ได้เพราะไม่เช่นนั้นคงทักผิดทักถูกเป็นแน่ แต่โชคดีที่อย่างน้อยอิงเอ๋อร์ต้องการทาหน้าดำเช่นนี้ต่อไปถ้ากลับไปที่จวนคงวุ่นวายกันหน้าดู

“เจ้าค่ะ ท่านปู่รอหลานประเดี๋ยวนะเจ้าคะจิวอิงนางมีไข้ไม่รู้ว่าจะลงมากินข้าวไหวหรือไม่ หลานจะขึ้นไปดูนางก่อน” เย่วซินเอ่ยบอกท่านปู่

“ได้เจ้ารีบขึ้นไปเถิดถ้านางยังไม่ดีขึ้นเจ้าค่อยสั่งข้าวต้มไปให้นางข้างบน” ฮุ่ยฉินเอ่ยบอกหลานสาว

“เจ้าค่ะท่านปู่” เย่วซินเอ่ยแล้วรีบเดินขึ้นไปชั้นสองทันที จิวอิงยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงดูเหมือนอาการป่วยจะยังไม่ทุเลาคงต้องปล่อยให้นางนอนพักไปก่อน เย่วซินชวนพี่เสี่ยวชิงลงไปทานอาหารด้านล่างด้วยกัน ตอนแรกพี่เสี่ยวชิงเอ่ยปฏิเสธอ้างว่านางเป็นแค่บ่าวไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านาย เย่วซินจึงเอ่ยว่านางไม่ใช่บ่าวแต่เป็นพี่สาว เป็นญาติที่นางและจิวอิงนับถือคนหนึ่งอย่าได้กล่าวว่าตนเองต่ำต้อยเป็นแค่บ่าวอีก พี่เสี่ยวชิงรับคำและยอมเดินลงไปทานอาหารด้วยกันด้านล่าง

“จิวอิงยังมีไข้คงเพราะบาดแผลของนางเจ้าค่ะ หลานเลยให้นางนอนพักไปก่อนแล้วค่อยสั่งข้าวต้มไปให้นาง” เย่วซินที่ทาหน้าดำในตอนนี้เอ่ยบอกท่านปู่

“กินเสร็จแล้วปู่จะขึ้นไปดูนางสักหน่อย เจ้าทั้งสองคนก็กินเยอะ ๆ เถอะ แม่นางเสี่ยวชิงเจ้าไม่ต้องเกรงใจข้า เจ้าเป็นคนดีคอยดูแลอิงเอ๋อร์ทั้งที่เจ้าจะทิ้งขว้างนางก็ย่อมได้ข้านับถือน้ำใจเจ้ายิ่งนัก” ประโยคหลังฮุ่ยฉินหันไปเอ่ยกับเสี่ยวชิงด้วยความนับถือจิตใจของนาง ยอมลำบากเพื่อเลี้ยงเด็กตัวน้อยให้เติบใหญ่และดูเหมือนว่านางจะเลี้ยงดูมาอย่างดีอีกด้วย

“ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน คุณหนูจิวอิงนางน่าสงสารยิ่งนักข้ารักนางเสมือนบุตรคนหนึ่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยบอกจากใจจริง

“พี่เสี่ยวชิงไม่รักข้าหรือ? ข้าน้อยใจแล้วนะ” เย่วซินเอ่ยเย้าแล้วทำแก้มป่องงอนพี่เสี่ยวชิง

“โธ่...คุณหนูรองบ่าวก็รักคุณหนูเช่นกันเจ้าค่ะแต่บ่าวเพิ่งพบกับคุณหนูนี่เจ้าคะแต่ต่อไปนี้บ่าวสัญญาว่าจะรักและดูแลคุณหนูใหญ่ละคุณหนูรองเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงรีบเอ่ยทันทีด้วยกลัวว่าคุณหนูรองจะเข้าใจผิดนึกว่าตนเองไม่รักนาง

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าต้องเหนื่อยหน่อยนะแม่นางเสี่ยวชิง นางดื้อด้านแถมยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหากนิสัยผิดกับอิงเอ๋อร์นัก” ฮุ่ยฉินด้วยน้ำเสียงขบขันกับท่าทางของหลานสาวตัวแสบ

“บ่าวจะพยายามเจ้าค่ะนายท่าน” เสี่ยวชิงเอ่ย

“โธ่...ท่านปู่ พี่เสี่ยวชิงพอเลยหลานไม่ได้ดื้อด้านเสียหน่อยแค่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น” เย่วซินเอ่ยบอกทั้งสองคน

ทั้งหมดทานอาหารและพูดคุยกันจนเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นมาดูคนป่วยด้วยกัน

“เจ้าให้นางกินข้าวต้มแล้วให้นางกินยาด้วยแล้วกัน ส่วนยานี่เก็บเอาไว้และก็ทาบาดแผลของพวกเจ้าทั้งสามคนเสียหากปล่อยไว้ประเดี๋ยวจะกลายเป็นรอยแผลเป็น” ฮุ่ยฉินหยิบตลับยาทาแผลชั้นดีส่งให้หลานสาว เพราะรู้ว่าทั้งสามคนต่างก็มีร่องรอยของการถูกเฆี่ยนตีด้วยกันทั้งนั้น ฮุ่ยฉินถอนหายใจหนึ่งครั้งเมื่อมองทั้งสามคนโชคดียิ่งนักที่ตอนนี้พวกนางมาพบกับเขาและไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกนางหนีออกมาไม่ได้ชิวิตจะเป็นเช่นไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน