คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 105

หลายวันผ่านไปหานเสวี่ยถังตอนนี้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแถมยังมีกำลังใจที่ดีเพราะบุตรสาวทั้งสองคอยปรนิบัติข้างกายไม่ห่างอีกทั้งเขายังได้บุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน

ตอนนี้หานเสวี่ยถังเริ่มฝึกวรยุทธกับซานจิ่นและบางครั้งบุตรสาวคนโตนางก็มาฝึกซ้อมกับเขาด้วยเช่นกัน จิวอิงเป็นคนที่มีวรยุทธแข็งแกร่งดีเยี่ยมซึ่งต่างจากบุคลิกของนางที่อ่อนหวานนุ่มนวล แต่บุตรสาวคนเล็กของเขาที่มีนิสัยซุกซนห้าวหาญนางกลับไม่เป็นวรยุทธช่างขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกยิ่งนัก...

หลายวันที่ผ่านมาจ้าวไท่เหว่ย หยางหลง จิ้นฝานและเย่วเทียนช่วยกันคิดสร้างกับดักและค่ายกลต่าง ๆ เอาไว้รอบทิศของพรรคอินทรีย์เพื่อป้องกันผู้บุกรุก อันที่จริงพรรคอินทรีย์ก็มีกับดักและค่ายกลที่หนาแน่นอยู่แล้ว แต่ค่ายกลอันใหม่ที่คิดค้นกันนี้เป็บค่ายกลไฟเอาไว้สำหรับปกป้องกันกลุ่มคนคลั่งของพรรคอสรพิษโดยเฉพาะ

 หลายวันมานี้ทุกคนจึงมีเรื่องที่ต้องทำตามหน้าที่ของตนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ เย่วซินและไท่เฟยช่วยกันทำสินค้าตัวใหม่ของพรรคอินทรีย์นั่นคือเหล้าจ้าวอินทรีย์ที่ยามนี้ได้เวลาบรรจุลงขวดแล้ว

ขวดที่ใช้บรรจุเหล้านั้นเย่วซินเลือกใช้หลายแบบมีทั้งขวดแก้วทึบที่ได้มาจากเรือสินค้า ขวดกระเบื้องที่หาซื้อได้ง่ายทั่วไปแต่กระนั้นจ้าวไท่เหว่ยก็สั่งให้ช่างทำขวดให้ดูสวยงามเหมาะสมกับสินค้าของเขา ก่อนนำขวดมาบรรจุนั้นต้องผ่านการต้มฆ่าเชื้อเสียก่อนไท่เฟยดูสนใจกับสินค้าตัวนี้เป็นอย่างมากนางตั้งใจศึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการทำครั้งแรก เย่วซินก็เป็นผู้ให้ความรู้ที่ดีค่อย ๆ อธิบายจนไท่เฟยเข้าใจอย่างถ่องแท้

ที่เย่วซินให้จ้าวไท่เฟยมาช่วยทำนั้นก็เพราะว่าวันข้างหน้านางจะได้ทำเหล้าจ้าวอินทรีย์ได้ด้วยตัวเอง จ้าวไท่เฟยเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องงานคนหนึ่งแต่ที่ผ่านมานั้นคนในครอบครัวของนางเลี้ยงดูดีเกินไปไม่ให้หยิบจับสิ่งใดนอกจากเรื่องวรยุทธและงานของสตรีทั่วไป แต่ไท่เฟยมีนิสัยขี้เล่นชอบอิสระเรียนวรยุทธจึงเป็นที่ชื่นชอบแต่เรื่องงานของสตรีทั้งหลายจึงหลบเลี่ยงอยู่เป็นประจำ

“เย่วซินเจ้าเก่งมากเลยรู้เรื่องการทำเหล้าองุ่นด้วยข้านับถือ ๆ” จ้าวไท่เฟยเอ่ยพร้อมยกมือประสานกันด้านหน้าให้กับเย่วซิน

“ข้าก็ศึกษามาจากตำราทั้งนั้น ข้าชอบอ่านตำราไม่ชอบออกนอกจวนเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากจวนเมื่อไม่นานมานี้เอง” เย่วซินเอ่ยบอก ที่ว่าอ่านมาจากตำรานั้นตนไม่ได้โกหกแต่ตำรามันเป็นของภพก่อนก็เท่านั้น

“ข้าไม่ชอบอ่านตำราเท่าใดนักชอบออกท่องเที่ยวเสียมากกว่าเวลาที่ว่างจากการฝึกยุทธข้ามักจะออกเที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อย คนในครอบครัวของข้าคิดว่าข้ายังเป็นเด็กชอบเล่นซุกซนจึงไม่ให้ข้าช่วยงานใด ๆ เลย” จ้าวไท่เฟยเอ่ยเล่าเรื่องราวของตนเอง

“พวกเขากลัวเจ้าเหนื่อยต่างหากเล่า แต่ต่อไปนี้เจ้ามีงานทำแล้วนะสินค้าพวกนี้ต่อไปอาจเป็นที่ชื่นชอบจนขายดิบขายดีแล้วอย่ามาบ่นว่าเหนื่อยก็แล้วกัน”

“ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว ว่าแต่ข้าขอลองชิมหน่อยได้หรือไม่” จ้าวไท่เมื่อเห็นสุราสีแดงสายงามตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะขอลิ้มลอง อยากรู้ว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร    

“ลองชิมได้แต่ตอนนี้รสชาติมันยังไม่อร่อยเท่าใดนักถ้าจะให้ดีต้องบรรจุขวดเอาไว้สักสองสามเดือนเป็นอย่างน้อย” เย่วซินเอ่ยบอกขณะที่มือกำลังบีบเครื่องปั้มนำเหล้าที่หมักลงบรรจุขวด ขั้นตอนที่พวกนางกำลังทำกันอยู่นี้เรียกว่ากาลักน้ำ เหล้าองุ่นที่หมักนั้นน้ำสีแดงสวยมันอยู่ด้านล่างของขวดโหลส่วนกากองุ่นมันจะลอยตัวมาอยู่ด้านบนจึงต้องใช้วิธีที่เรียกว่ากาลักน้ำเอาน้ำออกมาโดยที่ไม่ให้กากด้านบนติดมาด้วย

 

เย่วซินรินเหล้าใส่จอกส่งให้ไท่เฟยได้ลิ้มลองและตัวเองนั้นก็ลิ้มลองด้วยเช่นกันเพราะอยากรู้ว่ารสชาติเปรี้ยวหวานใช้ได้หรือไม่ เมื่อลองชิมเข้าไปก็พลันยิ้มกว้างเพราะรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังอร่อยเหลือแต่เพียงขั้นตอนการบ่มเพาะให้ได้รสชาติและกลิ่นที่ดียิ่งกว่าเดิม

“อร่อยมากเลยเย่วซินข้าไม่เคยดื่มเหล้าที่รสสชาติดีเช่นนี้มาก่อน” จ้าวไท่เฟยยิ้มกว้างเมื่อได้ลองชิมรสชาติขนาดยังไม่ได้บ่มเพาะยังอร่อยเพียงนี้แล้วถ้าบ่มเพาะจนได้ที่มันจะอร่อยเพียงใดกัน นางชักอยากจะลองชิมไว ๆ เสียแล้ว

“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าถึงมันจะอร่อยถ้าดื่มมากเกินไปอาจเมาได้ต่อไปเจ้าทำเองก็อย่าเผลอลิ้มลองเสียเกินพอดีเล่า” เย่วซินเอ่ยเตือนเพราะรสชาติที่อร่อยทำให้คนหัวทิ่มมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้

“รู้แล้วน่า...” ทั้งสองช่วยกันบรรจุเหล้าลงขวดและเขียนวันเดือนปีที่ผลิตลงข้างขวดเมื่อเสร็จเรียบร้อยก็นำไปเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินที่จ้าวไท่เหว่ยเตรียมเก็บกวาดเอาไว้เป็นอันเสร็จสิ้นการทำเหล้าองุ่นจ้าวอินทรีย์…

จิวอิง ชิงหนี่ว์และเสี่ยวชิงรับหน้าที่ทำอาหารให้กับทุกคน จริง ๆ แล้วพ่อครัวของพรรคอินทรีย์ฝีมือปรุงอาหารไม่ด้อยกว่าผู้ใดอาหารคาวหวานล้วนทำได้หมดทั้งสิ้น แต่ทั้งสามคนที่เก่งงานเรือนและชอบทำอาหารก็ยังอยากลงมือทำเองมากกว่า

“ท่านพ่อเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” จิวอิงเอ่ยถามบิดาเมื่อเดินมาหาท่านที่ลานฝึกหลังจากทำอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว

“พ่อไม่เหนื่อยเลยสักนิด โอสถของท่านฮุ่ยฉินช่างดียิ่งนัก” หานเสวี่ยถังเอ่ยที่ตนมีพละกำลังและร่างกายที่แข็งแรงขึ้นนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโอสถของท่านฮุ่ยฉินที่ช่วยปรุงมันขึ้นมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ

“จริงเจ้าค่ะ ท่านปู่เป็นหมอที่เก่งมากอีกไม่นานท่านพ่อก็จะมีพลังที่แข็งแกร่งเหมือนเดิมแล้ว” จิวอิงเอ่ย

“แต่ตอนนี้พ่อยังสู้เจ้าไม่ได้เลยลูกสาวของพ่อเก่งยิ่งนัก...” หานเสวี่ยถังเอ่ยชมบุตรสาวที่นางใช้กระบี่ได้คล่องแคล่วและเก่งกาจ คราแรกที่แห็นยังอดทึ่งในตัวไม่ได้เลยเห็นนางมีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานไม่คิดว่าเพลงกระบี่จะร้ายกาจเช่นนี้

“อะแฮ่ม...ท่านพ่อลืมข้าจนหมดสิ้นแล้วช่างน่าน้อยใจยิ่งนัก” เย่วซินที่เดินมาหาบิดาที่ลานฝึกทันเห็นทั้งสองเอ่ยชื่นชมกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขก็อดที่จะเอ่ยเย้าไม่ได้

“เจ้านี่นะ ใครจะไปลืมเจ้าได้ลงกันหากเจ้าไม่อยู่สักวันคงเหงาหูแย่เลย” หานเสวี่ยถังเอ่ยบอกบุตรสาวอีกคนความจริงแล้วเขายังจำพวกนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าคนไหนคือใคร อย่าว่าแต่เขาเลยคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ยกเว้นท่านฮุ่ยฉิน เย่วเทียน หยางหลงและประมุขจ้าวทั้งสี่คนนั้นช่างมีสายตาหลักแหลมยิ่ง แต่เขาก็พยายามที่จะสังเกตจุดเล็กน้อยที่พวกนางไม่เหมือนกันนั่นคือท่าทางการเดิน คำพูดจาและแววตาของพวกนางตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะจับสังเกตและแยกแยะได้บ้างแล้ว

“ท่านพ่อกำลังชมข้าอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมทำหน้าสงสัย

“ฮ่า ๆ ๆ พ่อชมเจ้าน่ะสิ กลับเรือนกันดีกว่าอากาศเริ่มหนาวเย็นมากแล้ว” หานเสวี่ยถังเอ่ยชวนบุตรสาวทั้งสอง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นชึ้นมากเพราะเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว

ทั้งสามเดินกลับเรือนพักหานเสวี่ยถังอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วเดินมาร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคน ในมื้อเย็นของทุกวันทั้งหมดจะมาร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อคุยเรื่องต่าง ๆ

“ท่านประมุขจ้าวข้าและไท่เฟยจัดการนำเหล้าบรรจุลงขวดเรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ หากท่านว่างลองเข้าไปดูที่ห้องเก็บได้เลยเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยบอกให้เจ้าของสินค้าได้ทราบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน