บทที่ 107 ออกเดินทาง – ตอนที่ต้องอ่านของ คู่แฝดคู่ป่วน
ตอนนี้ของ คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 107 ออกเดินทาง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
สองวันผ่านมาวันนี้จะเป็นวันที่ต้องออกเดินทางไปยังป่าหมอกมายา ทั้งหมดตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่เดินทางไปด้วยกันทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องมีคนอยู่ที่พรรคเผื่อว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาจะได้ช่วยกันรับมือได้ทันท่วงที
พวกที่จะเดินทางไปป่าหมอกมายานั้นมีเย่วซิน จิวอิง หยางหลง เย่วเทียนและจ้าวไท่เหว่ย ส่วนคนที่เหลือช่วยดูแลอยู่ที่พรรค ซึ่งทั้งหมดก็ตกลงกันด้วยดีไม่มีใครทักท้วงเพราะว่าอยู่ที่ใดก็ล้วนต่างต้องทำหน้าที่ของตน
คนที่อยู่ทางพรรคก็ต้องช่วยกันค้นหาตำราและคิดค้นกันว่าจะทำสิ่งใดเพื่อป้องกันคนคลั่งของพรรคอสรพิษได้ แม้จะเป็นเรื่องที่หนักหนาอยู่มากแต่ก็ต้องทำให้ได้ไม่เช่นนั้นแล้วย่อมหมายถึงชีวิตของพวกเขาทั้งหมดก็อาจจะไม่ปลอดภัย ความทะเยอทะยานของคนย่อมไม่มีที่สิ้นสุดถ้าอยากมีชีวิตรอดย่อมตั้งสู้ให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
ทั้งหมดที่ออกเดินทางไปป่าหมอกมายาขึ้นควบม้าออกจากพรรคตั้งแต่เช้าตรู่เย่วซินขี่ม้าไม่เป็นต้องนั่งม้าตัวเดียวกับพี่ชายหน้านิ่ง จิวอิงจะควบขี้ม้าเองแต่หยางหลงคู่หมั้นของนางไม่ยินยอมจึงต้องนั่งม้าตัวเดียวกับคู่หมั้นไปโดยไม่มีสิทธิ์คัดค้าน จ้าวไท่เหว่ยควบขี่ม้าไปแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อสองวันก่อนที่เย่วซินตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้าในวันนั้นคราแรกก็คิดว่าตนเองฝันว่าได้จูบกับประมุขจ้าวยังคิดว่าช่างเป็นฝันที่ดีไม่น้อย แต่เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากของตัวเองที่เจ่อแดงขึ้นมาเล็กน้อยจึงรู้ได้ทันทีว่าตนเองไม่ได้ฝันไป ใครจะไปคิดว่าความหล่อเหลาของประมุขจ้าวจะทำให้เคลิบเคลิ้มได้ถึงเพียงนั้นขนาดตัวเองหลับไปตอนไหนยังไม่รู้เลย พอตื่นมาอีกทีก็นอนห่มผ้าอุ่นสบายอยู่บนเตียงแถมข้างกายก็ยังไร้วี่แววของคนที่ทำให้ตนเคลิบเคลิ้มอีก จะไม่ให้คิดว่าฝันได้เช่นไร
รอยยิ้มของประมุขจ้าวช่างหลอกหล่อให้คนเคลิบเคลิ้มได้โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่วันนั้นเย่วซินจึงทำตัวออกห่างจากประมุขจ้าวมากขึ้น เว้นระยะห่างไม่ยอมเข้าใกล้เพราะกลัวใจตัวเองจะพลั้งเผลอมีสามีก่อนอายุสิบแปดตามที่ตั้งใจเอาไว้เสียก่อน
ป่าหมอกมายานั้นตั้งอยู่เด่นตระหง่านกลางเขตติดต่อของทั้งสี่แคว้น นั่นหมายถึงป่าหมอกมายาเป็นศูนย์กลางของทั้งสี่แคว้นนั่นเอง ถ้ากางแผนที่ออกดูจะพบว่าเหนือ ใต้ ออก ตก ของป่าหมอกมายาจะติดต่อกับแต่ละแคว้น ส่วนมากคนที่เข้าไปด้านในป่าแล้วอยากที่จะไม่ได้ออกมาทางเดิม
จ้าวไท่เหว่ยที่เคยเข้ามาเมื่อหลายปีก่อนตอนเดินทางเข้าป่าตนเข้าที่เขตแคว้นหนิงแต่พอตอนออกจากป่าดันไปออกที่แคว้นฉินเสียอย่างนั้น เรื่องความอันตรายไม่ต้องเอ่ยถึงมีอยู่รอบด้านครานั้นที่เข้ากันไปก็บาดเจ็บกันถ้วนทั่วไม่เว้นแม้แต่ท่านตาของเขา
ทั้งหมดเดินทางกันมาได้ครึ่งวันก็หยุดพักม้า อันที่จริงพวกเขาทั้งหมดใช้วิชาตัวเบาเดินทางจะถึงกว่าแต่การใช้วิชาตัวเบานั้นมันต้องใช้พลังปราณมากจึงคิดว่าเดินทางด้วยม้าจะดีกว่าควรเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ใช้ในป่าหมอกเป็นดีที่สุด
“วันนี้เราน่าจะถึงเขตป่าหมอกมายาในช่วงค่ำและพวกเราจะค้างคืนกันที่ชายป่ารุ่งเช้าค่อยเข้าไปด้านในกัน” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดระหว่างที่นั่งพักกินอาหารระหว่างทาง
“ตกลงตามนั้น” หยางหลงเอ่ยรับคำเขาเองก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
อาหารการกินนั้นจิวอิงเตรียมมามากมายส่วนมากจะเป็นเนื้อตากแห้งเอามาย่างไฟกินกับข้าวสวยร้อน ๆ นับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศเลยทีเดียว ก่อนออกเดินทางน้องสาวของนางสั่งให้จางฮั่นและจางฮ่าวคนคุ้มกันทั้งสองไปตัดไม้ไผ่มาไว้มากมาย
จากนั้นน้องสาวของนางก็สอนการหุงข้าวจากกระบอกไม้ไผ่ซึ้งทำง่ายและสะดวกอีกด้วย นับว่าเป็นครั้งแรกที่จิวอิงเห็นการหุงข้าวแบบนี้น้องสาวของนางช่างมีความรู้รอบด้านเสียจริง แต่มื้อเที่ยงวันนี้ไม่ได้หุงข้าวจากกระบอกไม้ไผ่เพราะนางเตรียมข้าวห่อเอาไว้แล้วพร้อมกินได้เลย
หลังจากกินอาหารมื้อเที่ยงและพักม้าอีกเพียงครู่ก็เริ่มเดินทางกันต่อหนทางไปป่าหมอกมายานั้นไม่ค่อยราบเรียบเท่าใดนักเพราะมีบ้านเรือนอาศัยไม่มากนัก ยิ่งเข้าใกล้เขตป่าหมอกมายาบ้านเรือนสักหลังก็ไม่มีให้เห็น เส้นทางที่ใช้เดินทางนั้นจึงมีแต่หญ้ารกบางแห่งมีต้นหญ้าขึ้นสูง บางแห่งก็มีต้นไม้ล้มทับเส้นทางต้องอ้อมไปบ้างก็ยังมีนับว่าลำบากไม่น้อย
อาทิตย์เริ่มลับแสงเหล่านักเดินทางก็ยังไม่ถึงชายป่าหมอกมายาด้วยเส้นทางที่ยากลำบาก ทั้งหมดจึงตัดสินใจหาที่พักที่ปลอดภัยและมีแหล่งน้ำใกล้ ๆ เมื่อได้ที่พักแล้วจึงตั้งกระโจมเพื่อสำหรับหลับนอน
โชคดีที่มีแหวนมิติสามารถพกพาสิ่งของที่จำเป็นมาด้วยได้โดยไม่ต้องแบกหามให้พะรุงพะรัง กระโจมที่พักจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนักที่จะกางนอนดีกว่าต้องนอนตากยุงตากน้ำค้าง ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอากาศในตอนนี้เพราะมันเขาสู่หน้าหนาวและยิ่งอยู่ในป่าเขาเช่นนี้ยิ่งหนาวจับจิต
เย่วเทียนรีบก่อกองไฟและหาฟืนมาสุมใส่ ส่วนเรื่องกระโจมที่พักให้เป็นหน้าที่ของคนติดตาม จ้าวไท่เหว่ยพาซานจงมาด้วยเพียงคนเดียว ส่วนของเย่วซินมีจางฮั่นและจางฮ่าว จิวอิงมีหยวนเค่อองครักษ์ที่หยางหลงคอยให้ติดตามและคุ้มกัน ส่วนตัวหยางหลงนั้นสั่งให้องครักษ์เงาของตนล่วงหน้าไปที่ชายป่าหมอกมายาและจัดเตรียมเส้นทางให้เรียบร้อยพรุ่งนี้ออกเดินทางจะได้ไม่ล่าช้าอย่างวันนี้
อันว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องต้องใส่ใจ เย่วซินจึงหอบหิ้วทุกอย่างที่สามารถนำใส่แหวนมิติของมาได้ยัดมาทั้งหมดยิ่งไม่ถือยิ่งเข้าทาง มื้อเย็นวันนี้จึงเป็นข้าวที่หุงจากกระบอกไม้ไผ่ครบจำนวนคน เนื้อที่ใส่เกลือตากแดดเก็บเอาไว้จนแห้งเอาออกมาย่างส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย เมื่อเสร็จก็ตั้งกาน้ำร้อนเพื่อใช้ชงชาดื่มแก้กระหาย
เย่วซินเหมือนรับรู้ความคิดของคนร่างสูงที่มีสายตาร้อนแรงแต่สายตายามนี้ร้อนแรงจนแทบเผาหัวเผือกหัวมันได้ จึงไม่คิดกลั่นแกล้งอีกเพราะสองสามวันมานี้นางแทบไม่ได้พูดคุยกับเขาเลย เพื่อเป็นการลงโทษที่เขาทำให้เธอเคลิบเคลิ้มจนแทบคลั่ง อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้มีพระคุณแถมยังหล่อเหลาอีกต่างหากเธอให้อภัยก็แล้วกัน
“ชิ้นนี้ของ...ประมุขจ้าว” เอ่ยพร้อมคีบเนื้อย่างส่งผ่านด้านหน้าของพี่ชายไปยังคนร่างสูงที่นั่งถัดกัน จ้าวไท่เหว่ยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หลังยืดตรงขึ้นมาทันที รับเนื้อย่างมาจากคนร่างเล็กด้วยท่าทีนิ่งเฉยแม้ในใจนั้นจะรู้สึกลิงโลดมากก็ตาม
“ขอบใจ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจนัก จะให้เขายิ้มรับหน้าบานได้อย่างไรกันเสียภาพลักษณ์กันหมดพอดี เย่วเทียนเหล่สายตามองบุรุษที่นั่งด้านข้างจากนั้นก็กินอาหารของตนต่อโดยที่ไม่ได้สนใจอีก
เมื่อกินอาหารเสร็จก็นั่งดื่มชากันต่อ อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเย่วซินนรีบหยิบเสื้อขนสัตว์ที่พี่ชายมอบให้เอาออกมาสวมใส่ มือไม้สั่นเทาเพราะความหนาวเย็นคราแรกที่ยังไม่ได้เอามาสวมเพราะกลัวจะเลอะอาหารจึงอดทนรอให้กินเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
ขนาดกองไฟที่มีไฟลุกโชนสว่างไสวยังไม่สามารถมอบความอบอุ่นมาให้อย่างพียงแล้วอย่างนี้ตนจะทนหนาวได้อย่างไรกัน ขนาดว่าเสื้อขนสัตว์มีหมวกครอบศีรษะเอาไว้แล้วก็ยังไม่เพียงพอนางยังไม่หายหนาวตอนนี้ว่าปลายจมูกเย็นยะเยือกจนแทบจะพ่นไอน้ำออกมาได้แล้ว เย่วซินยื่นมือเล็กเข้าใกล้กองมากขึ้นเพื่อที่จะอังไอร้อนมาแตะแต้มใบหน้าที่เย็นเยียบอยู่ตอนนี้
“ระวัง…” สองเสียงประสานกันพร้อมกับยื่นมือหนาของพวกเขาออกมาจับมือเล็กไม่ให้เข้าใกล้กองไฟเพราะกลัวว่าผิวหนังจะถูกเปลวไฟเผาลวกเอาได้ สองบุรุษมองหน้ากันพร้อมกับมือที่ยื่นค้างเอาไว้ จากนั้นก็พร้อมใจกันชักมือกลับเมื่อเห็นว่ามือเล็กถอยกลับเช่นกัน
เหตุการณ์เมื่อครู่สร้างรอยยิ้มให้กับคู่รักแห่งปีทั้งสองจิวอิงและหยางหลงมองหน้าสบสายตาพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย หยางหลงเอื้อมมือกอบกุมมือเล็กของคนรักอย่างทะนุถนอมแม้นางจะไม่ใช่คนขี้หนาวแต่มือของนางก็เย็นไม่น้อยเช่นกัน
นั่งพูดคุยกันอยู่เพียงครู่ก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอนโดยมีองครักษ์ทั้งหลายคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับผู้เป็นนายเป็นอย่างดี พวกเหล่าคนคุ้มกันต่างก็มีอาหารของพวกเขาที่ผู้เป็นนายจัดเตรียมเอาไว้ให้ก่อนเดินทาง จึงไม่ต้องยากลำบากในการทำให้อิ่มท้อง มีเจ้านายดีนับว่ามีบุญไม่น้อย
จิวอิงและเย่วซินนอนอยู่กระโจมเดียวกันดังนั้นเย่วซินจึงมีไออุ่นจากกายมนุษย์เพื่อผ่อนคลายความหนาว เย่วซินนอนกอดพี่สาวทั้งคืนแถมผ้าห่มที่เตรียมเอามาก็คลุมร่างเสียจนมิดจิวอิงนึกขำขันกับความขี้หนาวของน้องสาวแต่ก็ยินยอมเป็นหมอนข้างให้นางกอดด้วยความยินดี...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...