คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 110

สรุปบท บทที่ 110 เครือไม้ปีศาจ: คู่แฝดคู่ป่วน

สรุปตอน บทที่ 110 เครือไม้ปีศาจ – จากเรื่อง คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

ตอน บทที่ 110 เครือไม้ปีศาจ ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง คู่แฝดคู่ป่วน โดยนักเขียน ไป๋หลัน เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

แค่กๆ ๆ เสียงไอของบุรุษดังขึ้นเสียงนั้นไม่ใช่ใครเป็นของเจ้าของนามเมื่อครู่นี้เอง จ้าวไท่เหว่ยตกใจกับคำเรียกขานที่เขาเองก็อยากให้นางเรียกเขาเช่นนี้มานานแล้ว แต่นางก็ไม่ยอมเรียกเขาสักทีแต่จู่ ๆ นางก็มาเรียกเขาแบบนี้โดยที่ไม่ทันตั้งตัวก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา

“คุณชายจ้าวอีกหน่อยก็ชินไปเอง” หยางหลงเอ่ยพลางยกยิ้มเมื่อเห็นอาการของประมุขหนุ่มขัดเขินกับคำเรียกขานจนใบหูขึ้นสีเล็กน้อย

“ท่านไม่ชินหรือ? เช่นนั้นข้าเรียกประมุขจ้าวเช่นเดิมก็ได้เจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยเย้า ความจริงนางเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาอยากให้ตนเรียกขานแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

จ้าวไท่เหว่ยจ้องร่างเล็กอย่างคาดโทษเขายังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่ชินกับคำเรียกขานเขาเพียงแค่ตกใจและดีใจไปหน่อยก็เท่านั้นเอง จ้าวไท่เหว่ยรีบปรับสีหน้าให้ดูนิ่งขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพื่อไม่ให้ผู้ใดได้ล่วงรู้ภายในใจของตน “เรียกบ่อย ๆ ประเดี๋ยวก็ชิน”

หยางหลงและจิวอิงหันมายิ้มให้กันเล็กน้อยไม่เว้นแม้แต่องครักษ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบ ๆ ประมุขจ้าวแม้จะปกปิดอย่างไรมันไม่สามารถปกปิดได้สีหน้าออกจะชัดเจนเช่นนั้นเด็กสามขวบยังดูออกกระมังจะไม่ให้พวกตนยกยิ้มได้อย่างไรกัน แต่เอาเถอะพวกตนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน

ตอนนี้ทุกคนออกเดินทางกันต่อโดยใช้วิชาตัวเบาเพราะต้องเดินทางให้รวดเร็วและห่างจากจุดนี้ให้มากที่สุดก่อนที่เจ้าหมาป่าทมิฬจะฟื้นขึ้นมาแล้วตามไล่ล่าพวกตน ซึ่งการเดินทางก็ยังเหมือนเดิมหยางหลงโอบอุ้มร่างบางของคนรักเพราะกลัวว่านางจะสิ้นเปลืองพลังและเหน็ดเหนื่อยเกินไป ส่วนเย่วซินเป็นพี่ชายหน้านิ่งคนเดิมที่เป็นคนโอบอุ้มทะยานเดินหน้าไป

เมื่อคิดว่าออกมาไกลมากแล้วจึงหยุดใช้วิชาตัวเบาแล้วเดินด้วยเท้าเช่นเดิม ตอนนี้ป่าไม้เริ่มหนาแน่นขึ้นกว่าตอนแรกอาจเป็นเพราะเริ่มเข้ามายังเขตป่าชั้นกลางแล้ว การเดินทางย่อมต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม

“ข้าคิดว่าพวกเราเดินวนกลับมาที่เดิม” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ตอนแรกคิดว่าต้นไม้อาจเหมือนกันจึงได้ลองทำสัญลักษณ์เอาไว้” หยางหลงเอ่ยพลางชี้ไปที่สัญลักษณ์ที่ตนทำขึ้นบนต้นไม้ต้นหนึ่ง

“เราลองเดินไปอีกทางหนึ่งดูก่อนอาจจะไม่วนกลับมาก็ได้” เย่วเทียนเอ่ย ทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วยจากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางแล้วออกเดินกันต่อ แต่เพียงไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็วนกลับมาที่เดิมอีกจนได้

“เอาอย่างไรดีเราวนกลับมาที่เดิมกันอีกแล้ว” หยางหลงเอ่ยถามสหายทั้งหลายที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน

“มีบางอย่างลวงตาพวกเราอยู่อาจจะเป็นต้นไม้หรือเครือไม้พวกเราต้องกำจัดมัน” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก จากนั้นก็ออกค้นหาบางสิ่งที่คิดว่ามันผิดปกติ ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รีบออกค้นหาเช่นกันไม่เช่นนั้นคงได้เดินวนกันอยู่ในนี้ไม่ได้กลับออกไปอีกเป็นแน่

“โอ๊ย...” เสียงของจิวอิงร้องเพราะรู้สึกถึงบางอย่างที่เกี่ยวรัดข้อเท้าทั้งสองข้างเอาไว้จนขยับเขยื้อนกายไม่ได้เมื่อก้มมองก็พบว่าเป็นเครือไม้เลื้อย พยายามดิ้นและใช้กระบี่ในมือฟาดลงไปยังเครือไม้ให้มันขาดแต่ฟันเท่าไรก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จเพราะมันทั้งเหนียวและแถมยังรัดข้อเท้าของนางแรงขึ้นอีกต่างหาก

หยางหลงเมื่อได้ยินสียงร้องของคนรักก็รีบหันกลับไปช่วยเหลือโดยทันที เมื่อเห็นว่ามีเครือไม้พันเกี่ยวอยู่ที่ข้อเท้าเล็กก็ใช้กระบี่ในมือฟันลงยังเครือไม้จนขาดออก แต่ดูเหมือนพวกมันจะมีชีวิตเพราะหลังจากที่มันโดนฟันแล้วก็แตกระแหงเลื้อยพันเกี่ยวไปหาทุกคนที่อยู่รอบบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง

จ้าวไท่เหว่ยและเย่วเทียนต่างก็รับรู้ได้ว่องไวเช่นกันและทั้งคู่ต่างก็เอื้อมมือใหญ่ของตนเองโอบเอวเล็กของเย่วซินเอาไว้เพื่อหมายจะปกป้องไม่ให้นางโดนเครือไม้ปีศาจพันเกี่ยว

เย่วเทียนยื้อร่างเล็กให้มาทางตนพลางฟาดกระบี่ในมือใส่เครือไม้ที่เลื้อยมาทางตนอย่างรวดเร็วว่องไว จ้าวไท่เหว่ยเองก็ไม่ยินยอมมือหนึ่งเกี่ยวรั้งเอวเล็กไม่ยอมปล่อยมือหนึ่งกระหวัดกระบี่ในมือใส่เครือไม้ปีศาจด้วยท่วงท่าดุดันราวว่าไม่มีอันใดมารบกวนจิตใจของตนได้

เย่วซินถอนหายใจเบา ๆ พลางคิดว่าเอาเถิดอยากทำอะไรก็ทำขอแค่ปลอดภัยก็พอดูท่าทั้งสองคนจะทำสงความเงียบนอกเหนือจากกำจัดเครือไม้บ้านั่น

‘ช่างมีความสามารถมากล้นเสียจริง’

จ้าวไท่เหว่ยและเย่วเทียนช่วงจังหวะหนึ่งหันมาสบสายตากันอย่างไม่ยินยอม และเหมือนว่าต่างฝ่ายก็ต่างรับรู้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกต่างกระชับเอวเล็กเอาไว้แน่นแล้วช่วยกันกำจัดเครือไม้ปีศาจ

กลายเป็นว่ายามนี้บุรุษรูปงามราวเทพเซียนทั้งสองคนช่วยกันกวัดแกว่งกระบี่ในมือด้วยท่วงท่างดงามแต่ดุดันไร้ปราณีด้วยมีข้างเดียว ตรงกลางของบุรุษทั้งสองมีสตรีร่างเล็กที่โดนจับหันซ้ายหันขวาหมุนไปมาคล้ายตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต เย่วซินกลอกตามองบนจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าแต่เอาเถิดนางเข้าใจพวกเขาต่างก็รักและห่วงใย

จ้าวไท่เหว่ยพยักหน้ารับรู้พลางแย่งตลับยามาจากบุรุษอีกคนหน้าตาเฉยแล้วก้มลงทายาที่ข้อเท้าอีกข้างที่ยังไม่ได้ทาอย่างเบามือ เย่วเทียนมองบุรุษด้านข้างด้วยสายคมดุบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจนัก เอื้อมมือใหญ่ของตนยื้อแย่งตลับยาคืนมาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยินยอมเช่นกัน

เย่วซินเห็นเช่นนั้นก็พลันส่ายหน้าบุรุษผู้ดุดันทั้งสองกลายร่างเป็นเด็กน้อยไปเสียแล้วขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะหนักข้อขึ้นทุกทีคิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยออกไป “พวกท่านช่วยกันทาให้ข้าก็ดีจะได้เสร็จไว ๆ”

ทั้งสองบุรุษได้ยินเช่นนั้นต่างก็หยุดมือแต่สีหน้าบ่งบอกว่ายังไม่ยินยอมด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองจำต้องหยุดการกระทำเอาไว้แล้วต่างฝ่ายต่างช่วยกันทารอยแผลที่ข้อเท้าเล็กกันคนละข้างอย่างว่าง่าย

ผู้คนที่ร่วมเดินทางต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าให้กับบุรุษทั้งสอง ถ้าพวกเขาไม่ร่วมเดินทางมาด้วยคงไม่ได้เห็นการกระทำเช่นนี้ คนหนึ่งกุนซือผู้เย็นชาเงียบขรึมไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใด ๆ ส่วนอีกคนประมุขผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่สนใจสตรี

‘ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว’

ทั้งหมดหยุดพักการเดินทางชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูร่างกายและให้สตรีทั้งสองได้พักร่างกายเพราะเกรงว่าอาการเจ็บจะหนักขึ้น การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้เร่งรัดอันใดจึงไม่ต้องจำเป็นต้องฝืนร่างกายมากนัก...

ด้านหนึ่งของของเขตป่าหมอกมายามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้โรมรันกับกลุ่มหมาป่าทมิฬ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหมาป่าพวกนี้มันช่างโชคร้ายยิ่งนักที่เจอเข้ากับกลุ่มคนที่โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ทั่วไป

เพียงไม่นานพวกหมาป่าทมิฬก็ถูกจัดการเสียจนสิ้น ตายอย่างเอน็ดอนาถนอนเกลื่อนพื้นดินด้วยยาพิษร้ายแรงที่โดนเข้าไปพวกมันไม่มีสิทธิ์แม้จะร้องออกมาสักเพียงครึ่งคำ

จากนั้นกลุ่มคนพวกนี้ยังช่วยกันจัดการชำแหละเนื้อหนังทั้งขนทั้งเขี้ยวที่ยาวแหลมคมยังถูกชำแหละออกมาทั้งหมด แม้ยาพิษที่ใช้กับหมาป่าพวกนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงสักเพียงใดแต่มันก็ไม่ได้กระทบกระเทือนกับคนกลุ่มนี้เลยแม้แต่น้อย คนกลุ่มนี้ยังเอาเนื้อของพวกหมาป่ามาย่างกินกันอย่างอิ่มหมีพลีมันกันถ้วนทั่ว...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน