เจิ้งจื่อยิ่นเดินทางมากับหลานชายเจิ้งอู่เสียงพร้อมด้วยลูกพรรคอีกหลายคนไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีคนคลั่งที่เป็นผู้คิดค้นสร้างมันขึ้นมาอีกด้วย พวกคนคลั่งนั้นไม่สร้างขึ้นมาโดยง่ายเขาใช้เวลามาหลายสิบปีกว่าจะทำมันขึ้นมาได้สำเร็จ
เจิ้งจื่อยิ่นนำกลุ่มคนคลั่งใส่ไว้ในแหวนจัดมิติที่ใช้สำหรับใส่สิ่งมีชีวิตแต่จะบอกว่าคนพวกนี้มีชีวิตก็ไม่ถูกนักเพราะพวกมันถูกกระชากดวงวิญญาณให้หลุดลอยออกไปแล้วครึ่งหนึ่งเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือในยามนี้
เจิ้งอู่เสียงไม่ได้กินเนื้อแทะกระดูกของเจ้าหาป่าทมิฬเหมือนกับคนอื่น ๆ เขานั่งกินผลไม้ป่าแทนเพราะคิดว่ามันอร่อยกว่าเนื้อที่มีกลิ่นคาวรุนแรงพวกนั้นเป็นแน่
เจิ้งอู่เสียงตั้งแต่เขาอายุได้สิบขวบปีบิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่จากการถูกลอบฆ่า ท่านลุงจื่อยิ่นบอกว่าคนที่ฆ่าพวกท่านคือพรรคคู่แข่งเรื่องการปรุงยาพิษทั้งสองพรรคเป็นศัตรูกันมานานแต่ตอนนี้พรรคนั้นก็สิ้นชื่อไปหมดแล้ว
ไม่ใช่เพียงแต่พรรคคู่แข่งเท่านั้นผู้ใดที่เป็นคู่แข่งหรือสามารถปรุงยาพิษยาถอนพิษได้ ก็ถือว่าเป็นศัตรูของพรรคอสรพิษด้วยกันทั้งสิ้น พรรคอสรพิษล้วนหาทางกำจัดจนสิ้นไม่รู้จักกี่รายมาแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนว่าผู้ที่เก่งกาจเรื่องพิษได้กำเนิดมาอีกหนึ่งคนนั่นคือสตรีน้อยที่สดใสน่ารักผู้นั้น
เจิ้งอู่เสียงตามสืบเรื่องราวของสตรีนางนั้นจนได้รับรู้เรื่องบางเรื่องที่คนภายนอกไม่ได้รับรู้นั่นคือสตรีน้อยเย่วซินและสตรีหน้าดำจิวอิงคือพี่น้องฝาแฝดกันและมีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว
ที่เขาเริ่มจับสังเกตได้เพราะเจอเย่วซินครั้งสุดท้ายที่ร้านขายผ้าแต่เขาได้กลิ่นไข่มุกดำที่ตัวของนางด้วยเป็นคนที่ศึกษาเรื่องสมุนไพรมาตั้งแต่เล็กเขาจึงมีจมูกที่รับรู้กลิ่นได้อย่างดีมากกว่าผู้อื่น ก่อนหน้านี้เขาก็รู้ว่าสตรีหน้าดำนางนั้นก็ทาใบหน้าดำด้วยไข่มุกดำผสมกับไข่มุกสีขาวนางไม่ได้หน้าดำเพราะพิษแต่อย่างใด แล้วอีกอย่างเย่วซินก็ออกจากโรงเตี๊ยมหมิงฟู่ไปกับบุรุษปริศนาเขาให้คนคอยเฝ้าดูนางก็ยังไม่กลับมาอีกเลย เขาจึงสงสัยว่าพวกนางปกปิดอันใดจึงได้ตามสืบอย่างจริงจังจึงได้ทราบเรื่องราว
แต่เขาก็ไม่ได้แจ้งเรื่องความลับของนางทั้งสองให้ผู้เป็นลุงได้รับรู้ พวกนางเป็นแค่สตรีตัวน้อยที่มีความสดใสน่ารักนางไม่ได้เป็นพิษภัยกับผู้ใด มีแต่ทางฝ่ายของเขาเองเสียมากกว่าที่เป็นฝ่ายระรานก่อน
ตอนที่เขาช่วยหลานสาวของท่านลุงจัดการสตรีหน้าดำในวันนั้นก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้วและคิดหาวิธีนำยาถอนพิษไปให้นางแต่ก็เกิดเรื่องราววุ่นวายเสียหลายอย่างจนไม่ได้มีโอกาสพบพวกนางอีกเลย
แต่เย่วซินมีฝีมือการปรุงยาถอนพิษดีเยี่ยมหวังว่านางจะสามารถหาสมุนไพรมาถอนพิษนั้นได้หรือถ้าไม่ก็คงจะมีวิธียับยั้งความเจ็บปวดที่เกิดจากพิษพวกนั้นได้ไม่มากก็น้อย แล้วเขาก็จะหาวิธีไถ่โทษให้นางเองเจิ้งอู่เสียงสัญญากับตัวเองในใจ
“เหตุใดเจ้าไม่กินเนื้อพวกนี้เล่า” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก ที่พักหลังมานี้หลานชายดูกระด้างกระเดื่องแข็งข้อกับตนนัก
“ข้าไม่ชอบมันเหม็นสาบ” เจิ้งอู่เสียงเอ่ยตอบอย่างไม่สนใจเท่าใดนักและกินผลไม้ในมือต่อ
“เรื่องแค่นี้เจ้ายังทนไม่ได้แล้วจะทำการใหญ่ได้อย่างไรกัน” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยบ่น
“การใหญ่ที่ท่านว่ามันหมายถึงอะไรหรือ?” เจิ้งอู่เสียงย้อนถามผู้เป็นลุง
“ตอนนี้ข้าทดลองคนคลั่งสำเร็จแล้วและเริ่มจัดการกับพรรคเล็ก ๆ เพื่อให้อยู่ใต้อาณัติของเราแต่เท่านั้นมันยังไม่พอพวกเราจะต้องอยู่เหนือคนทั่วหล้า” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“เหตุใดเราต้องทำเช่นนั้นทุกวันนี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวายกับพวกเราแล้ว” เจิ้งอู่เสียงเอ่ยถามผู้เป็นลุง เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดพวกนั้นมันช่างฟังดูวุ่นวายไม่จบสิ้น
“เจ้าอย่าเอ่ยเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีกเพียงแต่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ อย่าลืมสิว่าเป็นผู้ใดที่เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่มาเช่นนี้ได้ถ้าไม่เพราะข้า” เจิ้งจื่อยิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดขี้ขลาดพวกนั้น มันช่างเหมือนกับคำพูดของน้องชายของเขา น้องชายผู้ขาดเขลาสมควรแล้วที่ต้องมาจบชีวิตลงเช่นนั้น
เจิ้งอู่เสียงนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก เวลาที่เขาไม่อยากทำสิ่งใดตามคำสั่งผู้เป็นลุงท่านก็จะอ้างบุญคุณที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ บุญคุณอันใดก็แค่ข้ออ้างตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิตเป็นเขาเองที่อดทนต่อทุกสิ่งอย่างตั้งใจศึกษาตำราสมุนไพรเพื่อจะได้เก่งกาจและสามารถเอาตัวรอดได้ จะได้ไม่เสียรู้และจบชีวิตลงด้วยยาพิษเหมือนกับบิดาและมารดาของเขา ท่านลุงไม่เลี้ยงดูสั่งสอนในแบบที่บิดามารดาเคยกระทำด้วยความรักอย่างจริงใจเลยสักครั้ง...
ทางด้านของคนอีกกลุ่มตอนนี้เริ่มออกเดินทางกันต่อ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เร่งรีบแต่ถ้าได้พบเจอสมุนไพรโดยเร็วก็ยิ่งดี เพราะในป่าแห่งนี้มันไม่ได้น่าอยู่สักเท่าใดนักอันตรายนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามีทุกแห่งหน พาให้สตรีน้อยที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายถึงกับหน้างอง้ำเพราะความเมื่อยและเหนื่อยล้าเกินจะทานทน ผิดกับสตรีอีกนางหนึ่งที่เรียบร้อยอ่อนหวานนุ่มนวลแต่กลับเดินได้อย่างคล่องแคล่วและไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ภาพลักษณ์ของฝาแฝดคู่นี้มันช่างย้อนแย้งในสายตาของผู้ร่วมเดินทางยิ่งนัก
“นี่มันอะไรกันอีกแค่เดินอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” เย่วซินเอ่ยบ่นทันทีเมื่อเห็นหนทางข้างหน้า
ด้านหน้าของทุกคนยามนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่แต่น้ำในทะเลสาบกลับเป็นสีแดงอมส้มดูไม่น่าไว้ใจเท่าใดนัก แต่เมื่อมองไปทางใดมันก็เหมือนว่าจะไม่มีพื้นดินให้เดินเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเหนื่อยเช่นนั้นก็พักกันก่อน ข้าจะให้ซานจงและคนคุ้มกันคนอื่นไปตัดไม้เพื่อต่อแพข้ามไปอีกฝั่ง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก จากนั้นก็หันไปสั่งคนคุ้มกันที่ติดตามมาให้ไปหาไม้ไผ่มาต่อแพ คนคุ้มกันทั้งหลายเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบทำตามทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...