“ซินเอ๋อร์เจ้าจะนำน้ำไปเช็ดตัวให้ประมุขจ้าวหรือ?” เย่วเทียนเอ่ยถามน้องสาวในมือของนางถืออ่างน้ำใบเล็กอยู่
“ใช่เจ้าค่ะ พี่เย่วเทียนมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวพี่ทำให้เอง” เย่วเทียนเอ่ยบอก นางเป็นสตรีจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้บุรุษได้อย่างไรอีกอย่างเขาก็หวงนางด้วยไม่อยากให้ใกล้ชิดกับกับบุรุษอื่นมากนัก
ยิ่งเป็นประมุขจ้าวยิ่งแล้วใหญ่รายนั้นออกตัวอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่ากำลังตามเกี้ยวน้องสาวของเขาอยู่ นั่นยิ่งทำให้เขาร้อนลุ่มในใจเป็นอย่างมากเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้หวงน้องสาวคนนี้นัก ทั้งที่น้องสาวอีกคนหนึ่งก็ไม่เห็นหวงนางมากขนาดนี้ หรืออาจเป็นเพราะเขาและนางสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กก็เป็นได้
“จะดีหรือเจ้าคะ ให้ข้าทำเองดีกว่า” เย่วซินเอ่ยเพราะความเกรงใจไม่ใช่ว่ากลัวเขาทำไม่ดี
“เป็นสตรีจะถึงเนื้อถึงตัวบุรุษมันไม่งามถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นหมอก็เถอะ” เย่วเทียนเอ่ยบอก
เย่วซินนึกในใจนางกับประมุขจ้าวเกินเลยกันมากกว่าเช็ดตัวไปไกลโขแล้วไม่เห็นมีอะไรต้องมาอายอีก แต่เรื่องนี้นางจะให้พี่ชายคนนี้รู้ไม่ได้เด็ดขาด
“เช่นนั้นข้าฝากด้วยนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะไปช่วยอิงอิงทำอาหารก่อนจะได้เสร็จเร็ว ๆ” เย่วซินไม่คิดเอ่ยขัดเมื่อเขาอาสานางก็ยินดีเผื่อว่าทั้งสองคนจะปรองดองกันมากขึ้นกว่าเดิม
เย่วเทียนรับอ่างน้ำมาจากนั้นก็เข้าไปในกระโจมรีบจัดแจงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนเจ็บ มองดูคนที่นอนหลับตาสนิทก็พลันให้คิดประมุขหนุ่มผู้นี้ก็มีความกล้าหาญไม่น้อยยามเกิดอันตรายก็มักเอาตัวเองเข้าเสี่ยงภัยก่อนเสมอ
อีกอย่างประมุขหนุ่มผู้นี้ยังช่วยเหลือบิดาของน้องสาวเอาไว้บุญคุณครั้งนี้นับว่ามากมายเกินจะชดใช้ได้หมด ถ้าน้องสาวของเขาได้ครองรักกับบุรุษผู้นี้นับว่าโชคดีไม่น้อยแต่เหตุใดเขากลับไม่ยินยอมที่จะเปิดทางให้กันเล่า
เย่วเทียนเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วรีบจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวประมุขหนุ่ม จ้าวไท่เหว่ยปรือเปลือกตาขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างมาโดนตัว เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ยามนี้เขารู้สึกหนักอึ้งไปทั่วทั้งร่างกายจึงไม่อาจไถ่ถามหรือท้วงติงได้จึงปล่อยให้บุรุษตรงหน้าล่วงเกินร่างกายของตนยามนี้ได้อย่างตามใจชอบก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงไปอีกรอบ
จิวอิงและเย่วซินช่วยกันหุงหาอาหารโดยมีผู้สูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาทเป็นลูกมือช่วย ส่วนคนคุ้มกันคนอื่น ๆ คอยเดินตรวจตราอยู่รอบ ๆ เผื่อมีสิ่งใดผิดปกติหรือว่ามีสัตว์ร้ายเดินเข้ามาใกล้พวกเขาจะได้จัดการให้สิ้นซาก
วันนี้เย่วซินทำข้าวต้มกับปลาเกลือแดดเดียวย่างไฟเอาไว้ให้คนป่วย ส่วนคนอื่น ๆ กินข้าวสวยกับปลาเกลือและแกงจืดผักรวมซดน้ำร้อน ๆ ปลาและเนื้อหมู เย่วซินเตรียมใส่เกลือตากแดดเอาไว้มากมายเมื่อรู้ว่าต้องเดินทางเข้าป่าและยังมีน้ำพริกผัดหมูอีกหลายขวดที่ทำแล้วใส่โหลกระเบื้องเอาไว้ อย่างน้อยหากหาอาหารไม่ได้ก็ยังมีน้ำพริกกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่ออาหารพร้อมทุกคนก็มารวมตัวกันหน้ากองไฟเช่นเดิม ส่วนกองไฟอีกด้านจะเป็นของพวกคนคุ้มกันที่แยกตัวออกไปกินตามลำพัง
“พวกท่านกินกันก่อนข้าจะเอาข้าวต้มไปให้คนป่วย” เย่วซินเอ่ยบอกคนที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
“เดี๋ยวพี่เอาไปให้เขาเองเจ้านั่งลงกินอาหารไปเถิด” เย่วเทียนเอ่ยบอกน้องสาว
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่เย่วเทียนนั่งกินไปเถิดข้ายังไม่หิวอีกอย่างข้าจะได้ตรวจดูเขาเสียหน่อยเผื่อว่าต้องให้โอสถเพิ่ม” เย่วซินเอ่ยบอกพี่ชายผู้เสียสละที่อาสาทำแทนไปเสียทุกอย่าง เย่วเทียนไม่คิดที่จะคัดค้านอีกประมุขจ้าวยามนี้อาการก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก
เย่วซินถือถาดอาหารมาด้านในกระโจมเห็นคนร่างสูงยังนอนหลับสนิทอยู่จึงวางถาดอาหารด้านข้างแล้วเอื้อมมือเล็กแตะลงที่หน้าผากเพื่อวัดดูว่ายังมีไข้อยู่หรือไม่ ส่วนปากก็เอ่ยเรียกเพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้นขึ้นมา
“พี่ไท่เหว่ยตื่นมากินอาหารได้แล้วเจ้าค่ะจะได้กินยา”
จ้าวไท่เหว่ยลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยเรียกเขาจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี “ซินเอ๋อร์...”
“เจ้าค่ะข้าเอง “ เย่วซินเอ่ยพร้อมช่วยจับร่างสูงใหญ่ของคนเจ็บให้ลุกขึ้นนั่ง
จ้าวไท่เหว่ยลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยบอกร่างเล็ก “ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“เจ้าค่ะ ท่านเก่งมากโดนพิษร้ายแรงเช่นนี้ยังสามารถลุกขึ้นมาได้ แสดงว่าร่างกายของท่านสามารถต้านพิษได้อย่างดีเยี่ยมแล้วเป็นแน่” เย่วซินเอ่ยเย้าคนร่างสูง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...