คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 115

สรุปบท บทที่ 115 เริ่มท้อแท้กับป่าหมอกมายา: คู่แฝดคู่ป่วน

สรุปตอน บทที่ 115 เริ่มท้อแท้กับป่าหมอกมายา – จากเรื่อง คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

ตอน บทที่ 115 เริ่มท้อแท้กับป่าหมอกมายา ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง คู่แฝดคู่ป่วน โดยนักเขียน ไป๋หลัน เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

“สูงขนาดนี้จะปีนไปได้อย่างกัน” เย่วซินเอ่ยพลางทำหน้าหวาดหวั่น

“เจ้าไม่ได้ฝึกพลังปราณจึงดูเหมือนยากแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะพาเจ้าขึ้นไปเอง” เย่วเทียนเอ่ยบอกน้องสาว

“ข้าทำให้พวกท่านลำบากไม่น้อยเลย” เย่วซินเอ่ยด้วยสีหน้าสลดเพราะนางไม่เป็นวรยุทธไม่ได้ฝึกพลังปราณเลยทำให้ทุกคนต้องพลอยลำบากดูแลช่วยเหลืออยู่ตลอดการเดินทาง

“คิดมากยิ่งนักไม่เหมาะสมกับเจ้าเลยยายเด็กแสบ...” เป็นจ้าวไท่เหว่ยที่เอ่ยบอก เพียงแค่นางไม่เป็นวรยุทธก็ไม่เห็นจะลำบากเขาเลยสักนิดเดียว อีกอย่างถึงนางจะเป็นวรยุทธแต่หลายครั้งก็ได้นางที่ช่วยเหลือไม่เช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้คงไม่ราบรื่นเท่าใดนัก

“จริงอย่างที่ประมุขจ้าวเอ่ย พวกเรารีบขึ้นไปด้านบนกันเถอะ” หยางหลงเอ่ยบอกจากนั้นก็เดินนำหน้าไปยังเถาวัลย์ใหญ่ ใช้มือกระตุกแรง ๆ สองสามครั้งเมื่อเห็นว่าแน่นหนาใช้ได้ก็จัดการนำทางขึ้นไปทันที

มือหนาโอบเอวคอดของคนรักเอาไว้เช่นเดิม ถึงนางจะมีวรยุทธที่เก่งกาจแต่เขาก็ไม่ยอมให้นางต้องออกปีนป่ายอย่างแน่นอน ตัวนางเล็กนิดเดียวแถมเบาราวกับขนนกอุ้มนางทั้งวันก็ยังไหว

หยางหลงใช้วิชาตัวเบาช่วยส่งตัวเองขึ้นที่สูงโดยใช้มืออีกข้างที่ยังว่างจับเถาวัลย์ส่งตัวเองขึ้นไป เย่วซินมองภาพเบื้องหน้าแล้วอ้าปากค้างพี่หยางหลงพลิ้วไหวสวยงามมากจริง ๆ นับถือ ๆ เย่วซินคิดในใจ

“พี่ไท่เหว่ยท่านไหวหรือไม่บาดแผลที่แขนยังไม่หายดีเลย” เย่วซินหันไปถามคนร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ให้อุ้มเจ้าอีกคนก็ยังไหว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไม่ต้องรบกวนท่านหรอกน้องสาวของข้าข้าจะดูแลนางเอง” เย่วเทียนเอ่ยบอกเสียงเข้มเมื่อได้ยินคำพูดหยอกเย้าน้องสาวของตน

“เชิญ...” จ้าวไท่เหว่ยไม่คิดเอ่ยขัดรีบผายมือให้อีกฝ่าย เย่วเทียนปรายตามองท่าทียียวนนั้นเล็กน้อยแล้วยกแขนแกร่งของตนโอบเอวเล็กคอดกิ่วของน้องสาวแล้วใช้วิชาตัวเบาดีดกายขึ้นปีนป่ายเถาวัลย์ใหญ่ด้วยท่วงท่างดงามเช่นกัน

จ้าวไท่เหว่ยก็ทะยานกายตามไปขึ้นไปติด ๆ ไม่ยอมทิ้งห่างสักครึ่งก้าว เหล่าคนคุ้มกันเองก็เช่นกันเมื่อเห็นผู้เป็นนายขึ้นไปพวกเขาก็เร่งติดตามขึ้นไปทันที

หยางหลงที่มาถึงยังด้านบนก่อนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับตัวไปที่ใด เพียงไม่นานเหล่าสหายก็ตามติดขึ้นมาด้านบนจนครบและเมื่อมาถึงทุกคนก็ได้แต่ยืนเงียบตะลึงงัน

“ไม่นะ...นี่มันขั้วโลกเหนือหรืออย่างไรกัน” เย่วซินร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจและท้อใจเมื่อเห็นภาพสีขาวโพลนตรงหน้า มันเป็นภาพที่มีหิมะตกหนักจนต้นไม้และพื้นดินกลายเป็นสีขาวโพลนเต็มไปหมด ถ้าเดินเข้าไปจะไม่หนาวตายเลยหรือ?นี่มันป่าบ้าบอชัด ๆ

“พี่หยางหลงเราต้องเดินเข้าไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ” จิวอิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลตนเองไม่ใช่คนขี้หนาวยังรู้สึกหวาดหวั่นขนาดนี้ แล้วน้องสาวของนางเล่าจะเป็นอย่างไร

“เราไม่มีทางอื่นให้เลี่ยงเดินได้อีก” หยางหลงเอ่บอกร่างบางด้านข้าง

“ซินเอ๋อร์เจ้าไหวใช่หรือไม่” จิวอิงหันไปถามน้องสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่ไหวก็ต้องไหวมีพวกท่านอยู่ข้าเคียงข้างข้าก็อุ่นใจแล้ว” เย่วซินเอ่ยบอกพลางยิ้มหวานส่งให้พี่สาว

“เช่นนั้นก่อนเดินเข้าไปพวกเรานั่งพักกินอาหารให้เรียบร้อยเสียก่อนดีกว่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกเพราะเดินมาหลายชั่วยามแล้วก่อนที่จะเข้าไปยังป่าหิมะสมควรที่หาอะไรใส่ท้องให้อิ่มเสียก่อน

“ดี ๆ ข้าเองก็หิวแล้วเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยเห็นด้วยเพราะตนเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีหรือเป็นเพราะว่าอยากถ่วงเวลาเอาไว้อีกสักหน่อยก่อนที่จะเข้าไปยังป่าหิมะด้านหน้าก็เป็นได้

ทั้งหมดนั่งพักและนำอาหารที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้าออกมาแบ่งกันกิน หลังกินอิ่มเรียบร้อยเย่วซินก็หยิบชุดคลุมขนสัตว์ออกมาสวมใส่อีกครั้ง ไม่เพียงแต่เย่วซินเท่านั้นคนอื่น ๆ ก็ต้องหยิบอาภรณ์หนา ๆ มาสวมใส่เอาไว้เช่นเดียวกัน

ทั้งหมดก้าวเดินเข้ามายังป่าหิมะที่ยังมีหิมะตกโปรยปรายตลอดเวลา อากาศในนี้หนาวจับจิตจับใจหรืออาจตายเพราะความหนาวก็เป็นได้นับว่าอันตรายโดยแท้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาอยู่ในป่าหิมะนานทั้งหมดจึงเดินทางกันด้วยวิชาตัวเบา

เดินทางกันมาได้ราว ๆ หนึ่งชั่วยามทั้งหมดก็กลับมาเดินเท้าด้านล่างหิมะเริ่มตกหนาแน่นจนมองหนทางไม่ชัดเจนเดินเท้าธรรมดาน่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ที่เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินเท้าก็คือหิมะบนพื้นที่หนาเหยียบย่ำลงไปก็ยุบลงเกือบครึ่งหน้าแข้งนับว่าลำบากไม่น้อย

เย่วซินต้องเดินเกาะแขนพี่ชายหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะเวลาจะก้าวขาแต่ละทีก็ต้องช่วยกันฉุดดึง ด้วยตนเองเป็นคนร่างเล็กเหยียบเท้าลงพื้นแต่ละทีมันยุบลงไปครึ่งหน้าขาและดูเหมือนว่าจะกินพลังในการเดินไปมากโขเลยทีเดียว

“พวกเราหาที่พักกันก่อนเถิดตอนนี้เริ่มเย็นมากแล้วแถมหิมะก็ตกหนักมากขึ้นด้วย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าร่างเล็กของเย่วซินและจิวอิงเริ่มย่ำแย่เต็มทน

ทั้งหมดเห็นด้วยจึงเร่งรีบหาที่พักกันในทันที เรื่องที่พักนั้นเป็นอีกเรื่องที่จัดการไม่ง่ายนักด้วยเพราะทุกอย่างมันเปียกชื้นไปเสียหมด เหล่าคนคุ้มกันต้องกางผ้าผืนใหญ่ทำเป็นหลังคาก่อนที่จะกางกระโจม หลังคานั้นก็ต้องกางให้เอียงลาดเล็กน้อยและยังต้องคอยดันเกล็ดหิมะออกอยู่ตลอดป้องกันมันทับถมมากเกินไปอาจทำให้ถล่มลงมาได้

ตอนนี้ทุกคนนั่งกันอยู่ในกระโจมใหญ่ไม่เว้นแม้แต่เหล่าคนคุ้มกันทั้งสี่ กองไฟก็ต้องก่อกันในกระโจมโชคยังดีที่เย่วซินเตรียมการเอาไว้อย่างดีถึงขนาดพกเตาไฟใส่แหวนมิติมาด้วย การก่อก็ต้องระวังจะสุมไฟมากไม่ได้ประเดี๋ยวจะเกิดประกายไฟแล้วจะโดนกระโจมวอดเอาได้

มีเตาไฟอุ่น ๆ อยู่ในกระโจมเช่นนี้นับว่าดีไม่น้อยอีกอย่างทุกคนเข้ามานั่งกันอยู่ในกระโจมก็ดูครื้นเครงและอบอุ่นเป็นอย่างมาก อาหารมื้อนี้จึงเป็นอะไรที่ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอย่างข้าวต้มทรงเครื่องที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายไหล

“อากาศเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแย่ไปเสียทีเดียว” หยางหลงเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังนั่งกินข้าวต้มแสนอร่อย

ในคืนที่มีหิมะตกหนาแน่นภายในกระโจมต่างให้ความรู้สึกที่อบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งตัวและยังแผ่ไปถึงหัวใจ โดยเฉพาะเย่วซินที่ดูจะอบอุ่นจนน่าอิจฉา ยามค่ำนี้มีบุรุษสูงใหญ่หล่อเหลาถึงสองคนตะครองกอดเอาไว้เพื่อมอบไออุ่นให้ ไม่ใช่แต่เพียงร่างกายที่มอบไออุ่นแต่ยังรวมถึงหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักที่พวกเขามอบให้แก่นาง...

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนและกินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ทั้งหมดเดินทางด้วยวิชาตัวเบาเช่นเดิม เพราะต้องการออกจากสถานที่แห่งนี้กันโดยเร็ว เมื่อเดินทางมาได้ราว ๆ สองชั่วยามทั้งหมดก็ออกมาจากสถานที่อันเหน็บหนาวได้สำเร็จ

แต่ความลำบากมันไม่ได้จางหายไปเลยสักนิดเพราะออกจากป่าหมอกหิมะมาได้ก็เจอเข้ากับดินแดนแห่งทะเลทรายอันแห้งแล้งแถมยังร้อนเป็นอย่างมากอีกด้วย

“นี่มันเป็นเพียงภาพมายาใช่หรือไม่” เย่วซินเอ่ยขึ้น เพราะตามความเป็นจริงมันไม่น่าจะมีป่าแบบนี้จริง ๆ อยู่เป็นแน่

“ก็อาจเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นเราจะเรียกมันว่าป่าหมอกมายาหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก ในครั้งนั้นที่เขาเข้ามากับท่านตามันก็เป็นอีกแบบไม่ใช่แบบนี้ แต่ตอนนั้นมันก็โหดเอาการเช่นกัน

“แล้วอย่างนี้ข้าจะเจอสมุนไพรหรือไม่ชักจะท้อแล้วนะ” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวัง

“เราต้องเจออย่างแน่นอนเจ้าอย่าได้กังวล” เย่วเทียนเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาเข้าใจความรู้สึกของนางในตอนนี้ ปกติน้องสาวคนนี้แทบจะไม่ก้าวเท้าออกจากจวนเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ต้องมาลำบากอยู่ในป่าก็ต้องเหนื่อยล้าและท้อถอยกันบ้าง

“ข้าก็หวังเช่นนั้นอยากกลับไปหาท่านปู่และท่านพ่อแล้วข้าคิดถึงพวกท่านยิ่งนัก” เย่วซินเอ่ยพลางทำสีหน้าเศร้าหมอง

“เรารีบไปกันเถอะจะได้กลับไปหาท่านปู่กับท่านพ่อโดยเร็ว” จิวอิงเอ่ยบอกน้องสาวนางเองก็ไม่ต่างกันแต่แค่ไม่แสดงออกเพียงเท่านั้น เพราะไม่อยากให้น้องสาวต้องรู้สึกท้อแท้ไปมากกว่านี้

“เช่นนั้นเรารีบเดินทางเถอะ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพลางก้าวเท้าเดินนำหน้าเข้าสู่ป่าแห่งทะเลทรายอันระอุด้านหน้า

ทะเลทรายแห่งนี้ไม่เพียงแต่ร้อนแห้งแล้งเท่านั้น ยังมีบางช่วงที่เจอเข้ากับพายุทรายจนทั้งหมดกลิ้งหมุนไปตามแรงลมอย่างห้ามไม่อยู่ ต้นไม้สักต้นก็ไม่มีให้เกาะเหนี่ยวรั้งเอาไว้แล้วพวกเขาจะสามารถต้านทานได้อย่างไรกัน ป่าทะเลทรายแห่งนี้นับว่าโหดร้ายไม่แพ้กับป่าอื่น ๆ ที่ผ่านมาเลยสักนิดเดียว

ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันจากหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจกลายเป็นร้อนรุ่มดังไฟแผดเผา ร่างกายมนุษย์จึงสุดจะทานทน บุรุษอกสามศอกยังอดที่จะครั่นเนื้อครั่นตัวไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีทั้งสองยามนี้โดนพิษไข้เล่นงานเข้าให้แล้ว แต่จะให้หยุดพักก็ยังหาที่เหมาะสมยังไม่ได้

จิวอิงยามนี้อยู่บนหลังของหยางหลงที่เป็นคนแบกเอาไว้ เช่นเดียวกับเย่วซินที่อยู่บนหลังของเย่วเทียนเช่นเดียวกัน ถ้าให้ทั้งสองคนฝืนเดินด้วยตนเองเกรงว่าจะเป็นสิ้นเรี่ยวแรงเป็นลมล้มพับไปแน่

เย่วซินคิดในใจป่าบ้าป่าบอเช่นนี้เจอกันแค่ครั้งเดียวก็นับว่าเกินพอไม่ไหวจะฝืน พร้อมกับดวงตาที่ปิดลงบนหลังแกร่งของพี่ชายหน้านิ่ง...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน