คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 116

สรุปบท บทที่ 116 เจ้าคิดกับนางเช่นไรกันแน่: คู่แฝดคู่ป่วน

อ่านสรุป บทที่ 116 เจ้าคิดกับนางเช่นไรกันแน่ จาก คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน

บทที่ บทที่ 116 เจ้าคิดกับนางเช่นไรกันแน่ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนซ์ คู่แฝดคู่ป่วน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ไป๋หลัน อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ยามบ่ายคล้อยในที่สุดก็หาที่พักกันจนเจอนั่นคืออุโมงค์หินขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็พอให้พักพิงกันอย่างสบายได้ เหล่าคนคุ้มกันต่างช่วยกันก่อกองไฟและหุงหาอาหารเองเนื่องจากคุณหนูทั้งสองของพวกเขาเกิดป่วยไข้ขึ้นมา

“อิงเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง” เย่วเทียนเอ่ยถามน้องสาวบุญธรรมทั้งสองคนที่ยามนี้นอนพักร่างกายอยู่บนผ้าแพรที่เอาไว้สำหรับปูรองนอน

“พี่เย่วเทียนข้าไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ แค่รู้สึกปวดเมื่อยตัวก็เท่านั้น” จิวอิงเอ่ยบอกพี่ชายบุญธรรม

“ข้าก็เช่นกันเจ้าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก” เย่วซินเอ่ยบอก ตนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมาเจออากาศหนาวจัดและยังมาเจออากาศร้อนจัดเลยทำให้เป็นไข้ แต่ตนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างกายตอนนี้ย่ำแย่นัก มันอ่อนล้าอ่อนแรงเต็มทนเมื่อครู่เจอพายุทะเลทรายก็สุดจะต้านทานกลิ้งหลุน ๆ ไม่เป็นท่า อย่าว่าแต่ตนเองเลยบุรุษที่แข็งแรงทั้งหลายต่างก็กลิ้งล้มไม่เป็นท่าเช่นกัน

“กินข้าวเสียก่อนจะได้กินยา” หยางหลงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พวกนางป่วยไข้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาถ้าไม่เป็นสิน่าแปลก ขนาดตัวของเขาเองที่ว่าแข็งแกร่งยังอดสะท้านไม่ได้เลย

จิวอิงและเย่วซินพยักหน้าเป็นคำตอบ เย่วซินหันไปมองร่างสูงใหญ่ของประมุขจ้าวก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เพราะเขาก็มีร่างกายที่ย่ำแย่อยู่ก่อนหน้าแล้วจึงเอ่ยถามออกไป “พี่ไท่เหว่ยบาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะขอข้าดูหน่อย”

“ข้าไม่เป็นอะไรประเดี๋ยวให้พี่ชายของเจ้าช่วยทำแผลให้ก็ได้เจ้าไม่ต้องห่วง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก แผลของเขายังไม่หายดีมาเจอพายุซัดเมื่อครู่เลยทำให้มันปริแตกขึ้นมาอีกแต่นับว่ายังไกลหัวใจนักสำหรับเขา

“พี่เย่วเทียนฝากดูแผลของพี่ไท่เหว่ยด้วยนะเจ้าคะ แล้วก็ยานี้เอาไว้กินหลังอาหารทุกคนเลยนะเจ้าคะเพราะดูแล้วแต่ละคนก็ร่างกายย่ำแย่พอกัน” เย่วซินเอ่ยพร้อมหยิบเม็ดยาออกมาส่งให้พี่ชายเอาไว้แจกจ่ายกับคนอื่น ๆ เพราะทุกคนดูท่าทางอิดโรยมาก

“ได้เดี๋ยวพี่จัดการเองเจ้ารีบกินเถอะจะได้นอนพักผ่อน” เย่วเทียนเอ่ย จากนั้นทุกคนก็กินอาหารและกินยาตามไปอีกคนละหนึ่งเม็ด เย่วซินและจิวอิงกินอาหารเสร็จก็หลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย

เย่วเทียนนำอุปกรณ์ทำแผลที่น้องสาวให้มาทำแผลให้ประมุขจ้าว เมื่อเปิดแผลออกพบว่ามันบวมแดงและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย

“แผลยังไม่หายดีอย่าอวดเก่งให้มากนะ” เย่วเทียนเอ่ยเสียงเข้มบอกอีกฝ่าย ส่วนมือก็จัดการทำแผลให้

“ข้าถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความห่วงใยก็แล้วกัน” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกน้ำเสียงไม่จริงจังเท่าใดนัก

“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน” เย่วเทียนเอ่ยพร้อมกับกดบาดแผลแรง ๆ ด้วยความไม่พอใจ

“โอ๊ย...เจ้าเบามือสิมือหนักขนาดนี้ข้าให้ซินเอ๋อร์ของข้าทำให้เสียดีกว่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก

“เจ้า...นางไปเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” เย่วเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งพูด

“พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันอีกแล้ว จะคุยกันดี ๆ ไม่ได้เลยหรือ?” หยางหลงเอ่ยขัดเมื่อเห็นสองบุรุษเริ่มจะมีปากเสียงหนักข้อขึ้น

“เจ้าเป็นสหายของผู้ใดกันแน่” เย่วเทียนเอ่ย พักหลังมานี้สหายผู้นี้ทำตัวไม่น่าคบหาเสียจริงหรือว่าเขาจะเลิกคบไปเสียเลยดีกว่ากระมัง

“ข้าก็เป็นสหายของเจ้าอย่างไรเล่า” หยางหลงเอ่ย

“หึ...เป็นสหายที่ดีเหลือเกิน” เย่วเทียนเอ่ยเหน็บแนมสหายด้วยน้ำเสียงไม่ดังเท่าใดนัก

“ข้าเป็นสหายที่ดีคนเดิมมีแต่เจ้าที่เปลี่ยนไป ประมุขจ้าวก็เป็นคนดีเหตุใดต้องกีดกันเขาด้วยเล่า เจ้าไม่อยากให้น้องสาวของเจ้ามีบุรุษที่ดีคอยดูแลปกป้องหรือ?” หยางหลงเอ่ยถามสหายที่ไม่รู้ใจตัวเองปากก็บอกว่ารักนางอย่างพี่ชายแต่สายตาและการกระทำมันเกินไปมากโข

“เพิ่งจะรู้จักกันอย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นคนดี” เย่วเทียนเอ่ยบอก

จ้าวไท่เหว่ยนิ่งคิดบางอย่างเขาจะไปสู้อีกฝ่ายได้อย่างไรกัน ทุกวันนี้เย่วซินก็ทำตัวติดกับพี่ชายตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร แล้วอย่างนี้เขาจะมีโอกาสใกล้ชิดนางได้อย่างไรกันงานนี้เขาเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดเลย จ้าวไท่เหว่ยนั่งถอนหายใจเพียงครู่จากนั้นก็ล้มตัวนอนยกมือก่ายหน้าผากด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว

เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้ทุกคนดูมีเรี่ยวแรงมากขึ้นโดยเฉพาะบุรุษทั้งหลาย ส่วนเย่วซินและจิวอิงอาการป่วยดีขึ้นมากแต่ยังไม่หายขาด การเดินทางจึงไม่อาจเร่งรีบได้หลังกินมื้ออาหารเรียบร้อยทุกคนก็เดินทางกันต่อ

พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้ในป่าแห่งทะเลทรายเพราะว่ามันไร้ซึ่งต้นไม้ให้เกาะเกี่ยว จิวอิงมีหยางหลงคอยช่วยประคองอยู่เป็นระยะ หรือบางครั้งก็ให้นางขึ้นขี่หลังเมื่อเห็นว่าร่างกายของนางเริ่มอ่อนล้า

เย่วซินเองก็เช่นกันมีเย่วเทียนคอยประคับประคองอยู่ตลอดเวลาแม้ยามที่นางเหนื่อยล้าเขาก็ให้ขึ้นขี่หลังโดยไม่เหน็ดเหนื่อย โดยมีสายตาร้อนแรงด้วยความอิจฉาของประมุขจ้าวคอยส่งไปให้อยู่เป็นระยะ เพราะเขาไม่ได้เข้าใกล้ร่างเล็กของเย่วซินนเลยแม้สักครั้งเดียว

“แย่แล้วพายุทรายด้านหน้า!” เสียงของหยางหลงเอ่ยขึ้น  เมื่อมองเห็นความเคลื่อนไหวอยู่ไกล ๆ ด้านหน้า และดูเหมือนว่ามันจะหนักหนาเอาการกว่าที่ผ่านมานัก

“เราไม่น่าจะหลีกเลี่ยงพ้นทำเช่นไรดีขอรับ” หยวนเค่อเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“หมอบลงกับพื้นเร็วเข้ามันใกล้มาแล้ว” เป็นเสียงจ้าวไท่เหว่ยเอ่ยขึ้นจากนั้นเขาก็รีบนำผ้ามาคลุมปิดบังใบหน้าของเย่วซินเอาไว้เพื่อป้องกันดินทรายปะทะใบหน้า จากนั้นก็นอนราบลงกับพื้นมือข้างหนึ่งกอดร่างเล็กเอาไว้แน่น

ไม่ต่างจากเย่วเทียนที่นอนราบลงกับพื้นใกล้ร่างเล็กของน้องสาวตัวแสบแล้วมือข้างหนึ่งก็โอบกอดนางเอาไว้เช่นเดียวกัน ส่วนจิวอิงและหยางหลงก็เช่นเดียวกันต่างหมอบราบไปกับพื้น พายุทรายลูกนี้ดูมันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาและไม่รู้ว่ามันจะพัดพาไปแห่งหนใด

พายุอันรุนแรงโหมกระหน่ำเข้ามาใกล้ด้วยแรงที่บ้าคลั่งไม่เพียงแต่แรงลมมันยังหมุนคว้างกวาดพาทุกสรรพสิ่งให้แตกกระจายออกไปคนละทิศคนละทาง กลุ่มที่เดินทางทั้งหลายถึงแม้จะรู้สึกว่าร่างกายถูกพายุซัดไปมาแต่ก็ไม่อาจกรีดร้องหรือส่งเสียงอันใดได้ เหตุเพราะดินทรายจำนวนมากที่มันปะทะเข้ามาถ้าเผลออ้าปากหรือลืมตาเพียงนิดเดียวมันอาจเข้ามายังร่างกายได้ถือว่าอันตรายไม่น้อย ได้แต่จำนนท์ต่อเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อาจปริปากบ่นได้

พายุอันบ้าคลั่งพัดพาด้วยความรุนแรงและรวดเร็วเนิ่นนานจนเหล่าผู้คนทั้งหลายไม่อาจทานทนฝืนร่างกายอันเจ็บปวดได้สติจึงดับวูบไปโดยไม่ได้รับรู้เลยว่าถูกพายุพัดพามายังสถานที่ใด...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน