เมื่อเก็บสมุนไพรเสร็จเรียบร้อยทั้งสามก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อตามหาคนอื่น ๆ ที่พลัดหลงกัน ยามนี้เจ้าตัวเล็กก็กลายร่างมาเป็นเจ้าตัวเล็กเหมือนเดิมและมันยังคงเกาะอยู่บนตัวของเย่วซินไม่ยอมห่าง
สัตว์อสูรเมื่อทำพันธะสัญญาแล้วย่อมเขาไปอยู่ในมิติจิตของคนผู้นั้นได้ แต่เจ้าตัวเล็กไม่ยินยอมที่จะเข้าไปด้านในนั้น มันอ้างว่าอยากเห็นโลกภายนอกอยู่ด้านในแล้วอึดอัด อยากอยู่กับท่านพ่อทั้งสองและท่านแม่มากกว่า มันช่างออดอ้อนเก่งยิ่งนัก
ตลอดทางเจ้าตัวเล็กก็มักจะมีจมูกที่ว่องไวมากมันได้กลิ่นสมุนไพรและเก็บกินตลอดเส้นทาง ไม่เพียงแต่สมุนไพรกระทั่งสัตว์เล็กมันก็กินเช่นกันเรียกได้ว่ามันช่างตระกละยิ่งนัก แต่มันก็ยังมีน้ำใจแบ่งสมุนไพรมาให้มารดาของมันเพราะมันรู้ว่ามารดาเป็นชอบสมุนไพรพิษที่สุด เลือดของมารดายังอบอวลไปด้วยพิษต่าง ๆ ซึ่งมันก็ชอบเช่นกัน
“พวกเราหาที่พักกันก่อนเถิดนี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว” เย่วเทียนเอ่ยบอกเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปบนผืนฟ้า แม้จะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ที่สาดแสงลงมาเบื้องล่างได้เพราะมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคุมแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าใกล้มืดค่ำเต็มทนเพราะอากาศที่เริ่มมืดครึ้มลงทุกขณะ
“เช่นนั้นเราพักตรงธารน้ำด้านหน้ากันดีกว่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าด้านหน้าอันไม่ไกลมากมีธารน้ำสายเล็กไหลพาดผ่านอยู่
ทั้งสามเดินมุ่งหน้ามาพักยังธารน้ำขนาดเล็ก จ้าวไท่เหว่ยรีบหากิ่งไม้มาจุดไฟส่วนเย่วเทียนเดินลงน้ำเพื่อหาอาหารมื้อเย็นโดยมีตัวป่วนมาช่วยอีกแรง เมื่อกองไฟเริ่มมอดกิ่งไม้จนได้เถ้าถ่าน ปลาตัวใหญ่ก็จัดการเสียบไม้อย่างเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
สองบุรุษต่างทำหน้าที่ของตนได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องมีผู้ใดเอ่ยสั่งหรือแบ่งงานกันทำ เหมือนพวกเขาพูดคุยกันด้วยพลังจิตอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้สตรีเพียงหนึ่งเดียวอดทึ่งไม่ได้เวลาพวกเขาทั้งสองสมานสามัคคีกันเช่นนี้ก็อดรู้สึกให้ชื่นชมไม่น้อย
“ท่านแม่หลงใหลในตัวท่านพ่อทั้งสองอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ” เสียงเล็กเอ่ยเมื่อมันรู้สึกได้ถึงความบางอย่าง
“เจ้าช่างรู้ดียิ่งนักอาเฟย” เย่วซินไม่เถียงนางรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ส่วนนามว่าอาเฟยนั้นเป็นนางที่ตั้งชื่อเรียกขานให้มันเอง
“ท่านพ่อเทียน ท่านพ่อเหว่ย ท่านแม่กำลังหลงใหลพวกท่านอยู่ขอรับ” อาเฟยเมื่อเห็นว่ามารดาของมันไม่คิดปฏิเสธก็พลันดีใจรีบตะโกนบอกบิดาทั้งสองของตนทันที
“อาเฟย!...” เย่วซินเอ่ยเสียงดังพร้อมกับเอามือปิดปากเจ้าตัวพูดมากเอาไว้ แต่มันก็ยังดิ้นไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ปากก็ยังร้องไม่หยุด
“อื้อ ๆ อู้ ๆ” อาเฟยพยายามเอ่ยแต่เสียงของมันกลับไม่เป็นคำเพราะมือของมารดาอุดปากมันไว้ เหตุใดมารดาต้องไม่ให้มันพูดด้วยมันไม่เข้าใจจริง ๆ
สองบุรุษนั้นได้ยินเต็มสองหูว่าอาเฟยเอ่ยสิ่งใดจึงยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจด้วยกันทั้งคู่ พลันสองสายตาคมหันมาสบตากันก็ชะงักค้างไปเพียงครู่ ทั้งสองปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อกัน
“ซินเอ๋อร์เจ้ายังคิดแก่แดดไม่เลิกอีกหรือ? จนอาเฟยจับได้แล้วเห็นหรือไม่” เย่วเทียนเอ่ยเย้าน้องสาวบุญธรรมที่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดกับนางแค่น้องสาวอีกต่อไปแล้ว แต่เขารักนางแบบคนรักต่างหาก
“โธ่...พี่เย่วเทียนข้าเป็นเช่นนี้มานานแล้วจะเลิกได้อย่างไรกันเล่า” เย่วซินเอ่ยยอมรับเพราะพี่ชายหน้านิ่งเอ่ยเช่นนี้อยู่เป็นประจำเขาแค่เย้านางเล่นก็ต้องรับมุกของเขาเสียหน่อย
“ท่านพ่อเทียนพูดจริงหรือ? ท่านแม่หลงใหลท่านมานานแล้วหรือ?” อาเฟยเอ่ยถามบิดาของตนอย่างใคร่รู้
“อาเฟย...เจ้ายังเล็กนักอย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่จะดีกว่า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยขัดขึ้นเพราะเขาเริ่มจะทนไม่ได้เมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กของเขาลุ่มหลงพี่ชายมาตั้งแต่ยังเล็ก
“ก็ได้ขอรับ รอให้ข้าโตก่อนค่อยยุ่งก็ได้” อาเฟยเอ่ยเสียงอ่อนลง
“โตแล้วก็ยุ่งไม่ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องของตน” เย่วซินเอ่ยบ่นอีกเสียงเมื่อเจ้าตัวเล็กคล้ายยังไม่เข้าใจในคำพูด
เจ้าตัวเล็กทำหน้าหดลงไม่เข้าใจมนุษย์ทำไมต้องมีข้อห้ามมากมายเช่นนี้ เย่วซินยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูแต่ไม่คิดจะเอ่ยปลอบประเดี๋ยวมันจะเสียนิสัย เย่วเทียนและจ้าวไท่เหว่ยช่วยกันย่างปลาตัวใหญ่สี่ตัวจนกลิ่นของมันหอมฟุ้งเมื่อเริ่มใกล้สุก
เสียงสวบสาบดังเข้ามาในโสตประสาทของสองบุรุษและอีกหนึ่งตัว ทั้งหมดต่างรีบระวังตัวกันมากขึ้น เงาดำสี่สายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้าวไท่เหว่ยเกือบจะปล่อยพลังปราณของตนไปแล้วแต่ก็ชะงักมือเอาไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด
“ท่านประมุข คุณชายเย่วเทียน คุณหนูเย่วซิน” เงาทั้งสี่เอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างถึงที่สุดพลางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้พบเจอพวกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างบาดเจ็บตรงใหนบ้างหรือไม่” เย่วซินเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่ปรากฏกายขึ้นก็รีบเดินเข้ามาใกล้ด้วยความดีใจแล้วเอ่ยถามสารทุกข์พวกเขาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...